ยิ่งออนแอร์ Game Of Thrones ก็ยิ่งสร้างปรากฏการณ์บนโลกทีวี อย่างที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน หลังจากตอนที่ 10 อันเป็นตอนสุดท้ายของซีซั่น 3 ทาง HBO ก็ออกมาเผยตัวเลขความสำเร็จอย่างน่าภูมิใจ โดยจากการสำรวจของ Nielsen ซีรีส์ทำยอดผู้ชมในการออนแอร์ครั้งแรกของตอนที่ 10 มากถึง 5.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นอีก 3% หากเปรียบเทียบกับตอนที่ 9 ที่ทำไป 5.22 ล้านคน แล้วหลังจากผ่านรอบแรกไป ผู้ชมยังรอชมซ้ำและรีรัน จนทำตัวเลขสูงถึง 6.3 ล้านคนดู ทำลายสถิติซีรีส์ฮิตของช่อง HBO ไปเรียบร้อย โดย True Blood เคยทำยอดผู้ชมไว้ที่ 5.53 ล้านคนดู เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2011 รวมไปถึงซีรีส์สุดฮิตที่เคยสร้างปรากฏการณ์อย่าง The Sopranos ก็ยังต้องพ่ายไป ตอนสุดท้ายของซีซั่นที่ 3 ซีรีส์ Game of Thrones เลยได้ยอดผู้ชมเพิ่มขึ้นอีก 28% โดยปีที่แล้วทำไป 4.2 ล้านคนดู ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นก็เพราะเนื้อหาที่แข็งแรง ทีมสร้างมีคุณภาพ ผู้เขียนบทฝีมือดี ทำให้ยอดผู้ชม Game of Thrones มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีมีตก เพราะถ้านับจากช่องทางชมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทางช่องทีวี ทาง HBO ยังมีให้ชมแบบ DVR, on-demand และ streaming และบริการ HBO Go ซึ่งเฉลี่ยแล้ว ต่อตอนมีผู้ชมมากถึง13.2 ล้านคน เลยทีเดียว ความสำเร็จระดับโลกของ Game of Thrones ก็ไม่ได้มาอย่างง่ายๆ ทุกอย่างถูกออกแบบ วางแพลนมาไว้อย่างยาวนาน โดยเฉพาะการลงทุนแร็พรูปมังกร ตามตึก รถบัสทั่วเมือง แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นการสร้างกระแสให้คนได้รู้ว่า Game of Thrones กำลังจะเริ่มออนแอร์ซีซั่น 3เท่านั้นเพราะถ้ามองถึงความสำเร็จจริงๆ ล้วนอยู่ที่เนื้อหาและงานสร้างของซีรีส์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะตอนที่ 9 ของซีซั่น 3 ที่มีชื่อตอนว่า The Rains of Castamere หรือที่หลายๆ คนเรียกว่า งานวิวาห์สีเลือด เป็นตอนที่มีการพูดถึงกันทั่วทั้งโลก เพราะเนื้อเรื่องที่ยากจะคาดเดา แถมหักมุม แล้วยังใส่ความเซอร์ไพร้ซ์ และ ช็อคคนดู ถึงขั้นน้ำตาไหลกันเลยทีเดียว Game Of Thrones Season 3: Episode #9 Preview ผู้กำกับ David Nutter ออกมาให้สัมภาษณ์เลยว่า มันเป็นความแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเพราะปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับแฟนๆ ในตอนที่ 9 ทุกๆ คนต่างบอกว่า เขาร้องไห้กับตัวละครอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่นับว่าเป็นการสร้างสัมพันธ์ระหว่างตัวละครกับคนดูได้อย่างประสบความสำเร็จ แถมแฟนๆ ให้คะแนนในตอนที่ 9 นี้ถึง 9.8 เต็ม 10 อย่างที่ไม่เคยได้สูงขนาดนี้มาก่อน ในส่วนของ George R.R. Martin ผู้แต่งหนังสือนิยาย Game of Thrones ก็ออกมาเผยว่า นี่เป็นฉากที่เขียนยากที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา ผมข้ามตอนนี้ไปก่อน จนเขียนเสร็จทั้งเล่มจึงวกกลับมาเขียนตอนนี้ให้จบ ผมรู้สึกเหมือนกำลังฆ่าลูกตัวเอง ผมต้องการให้ผู้อ่านอินเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ แล้วเวลาที่ตัวละครนั้นกำลังถูกฆ่า ผู้ชมจะรู้สึกเจ็บปวดราวกับ คนรักของคุณถูกฆ่าเลย! แล้วพอหนังสือออกขาย ผมก็ได้รับจดหมายจากแฟนๆ พวกเขาบอกว่า เขาเขวี้ยงหนังสือไปในเตาผิง แล้วบ่นว่าจะไม่อ่านหนังสือของผมอีกต่อไป แถมทิ้งท้ายว่า พวกเขาเกลียดผมมาก... สำหรับ Game of Thrones ซีซั่นที่ 3 นี้ เป็นแค่ครึ่งเล่มของนิยายเล่มที่ 3 ที่ใช้ชื่อว่า A Storm of Swords โดยผู้แต่ง George R.R. Martin ตั้งใจว่าจะเขียนนิยายออกมาทั้งหมด 7 เล่ม โดยใช้ชื่อชุดว่า A Song of Ice and Fire แต่ตอนนี้เขียนออกมาแค่ 5 เล่ม ซึ่งอีก 2 เล่มที่ยังไม่วางจำหน่ายจะใช้ชื่อว่า The Winds of Winter และ A Dream of Spring ซึ่งเขายังเขียนไม่เสร็จเลย มหากาพย์ตำนาน 7 อาณาจักรแห่ง Game Of Thrones ซีซั่นที่ 4 ทาง HBO จะเริ่มพรีเมียร์ตอนแรกในปี 2014 โน่นเลย ใครที่ยังไม่ได้ชมความสนุกของ Game Of Thrones ขอแนะนำ DVD ลิขสิทธิ์ที่ออกมาให้ชมกันแล้วทั้ง 2 ซีซั่น ส่วนซีซั่น 3 จะตามออกมาเร็วๆ นี้แน่นอน! Credit:: http://tv.truelife.com/content/2843117
ผมว่าคนดูซีรี่ย์ทุกคนรู้สึกเหมือนกัน ลุงติดทำให้ทุกคนที่ดูเรื่องนี้รักครอบครัวสตาร์ค ผูกพันกับสตาร์ค ปูเรื่องมาแต่ต้น ให้คนคิดว่านี่แหละตัวเอกของเรื่อง นี่แหละคนที่จะได้กอบกู้บัลลังก์ หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่ตายจากผู้ชมไปไหน แล้วลุงตินก็ทำสำเร็จ ผู้คนหลงใหล และรักสตาร์คเข้าไปเต็มๆ จนถึงตอนดังกล่าว ฉากสังหารหมู่ ในวิวาห์สีเลือด หัวใจของหลายๆคน แทบสลาย เพราะประนึงคนที่เค้ารักถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา โดยที่ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้เลย T___T โลกความเป็นจริงมักโหดร้ายเสมอ ลุงตินคงอยากจะบอกเช่นนั้นกับคนอ่าน...
เพิ่มเติม ผมว่าคนที่ติดซีรี่ย์นี้ส่วนนึง นอกจากเป็นแฟนจากหนังสือแล้ว ยังเพราะการถ่ายทำ ฉาก โปรดักชั่น CG การผลิตงานที่ออกมาสมจริง และทุ่มทุนสร้างมากมาย หากเทียบกับภาพยนตร์ในโรงฉายแบบ 3 ชั่วโมงเต็มผมว่าก็เทียบได้ และอาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ เอาง่ายๆ เทียบกับบ้านเรา ห่างไกลกันเหลือเกิน ... ซีรี่ย์ฝรั่งไปไกลเกินแล้ว
ทำไงถึงได้มีจินตนาการสูงส่งกันขนาดนี้นะ G.R.R Martin, J.R.R. Tolkien, J.K Rowling สร้างสรรงานเขียนกันออกมาได้ขนาดนี้ สุดยอดดดดดดดด.......
เรื่องนี้ต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวาน สามสี่ตอนแรกอาจจะเอื่อยๆอยู่บ้าง แต่ครึ่งหลังมานี่สนุกตลอด ฉากวิวาห์เลือดเราสงสารเกรย์วินกับพวกทหารมากกว่านิดนึง เพราะต้องมาตายตามผู้นำทัพ ร็อบบ์กับแคทลินยังมีส่วนต้องรับผิดชอบการตายของตัวเอง เราว่าที่ออกมาดีเพราะบทหนังและบทซีรีย์ คนเขียนเขาคิดกันมาเยอะมาก โครงเรื่องแน่น ตัวละครมีที่มาที่ไป มีเหตุผลรองรับ แต่ว่าที่ซีรีย์ไทย เกาหลี ญี่ปุ่น ต่างน่าจะเป็นธีมของเรื่องมากกว่า ที่สร้างเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้ชมทุกเพศทุกวัย แล้วก็วัฒนธรรมที่ต่างกัน ทางตะวันออกไม่ค่อยมีเรื่องการชิงอำนาจ ทรยศหักหลัง ที่ตั้งใจใส่ ความรุนแรง เพศ แบบเห็นกันจะจะอย่างในทางตะวันตก อาจจะติดปัญหาเรต แต่ลุงมาร์ตินเขาตั้งใจให้ออกมาแนวนี้อยู่แล้ว เขาว่ามันไม่ได้เหมาะกับทุกคน อย่างซีซั่นแรก ฉากหวาบหวิวบางฉากก็ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ ทำให้บางคนอาจจะต้องหลบๆผู้ใหญ่ดู:D ยังไง ยังไงเราก็คงไม่ได้ดูซีรีย์อยู่เรื่องเดียว เราเองก็ดูหลายๆเรื่อง บางเรื่องดูให้ขำๆ คลายเครียด บางเรื่องดูให้ความหวัง และ บางเรื่องก็ดูให้คิด(อย่างเกมออฟโทรนส์นี่ก็คิดหนักเลยทีเดียว)
เหมือนกันเลยครับ คือดูไปทุก ๆ เรื่องพร้อมกันไม่ว่าจะเป็น Orphan Black - The Walking Dead - Homeland แต่ก็ติดเรื่องนี้้มากที่สุดครับ
นักเขียนนวนิยาย เด่นๆ หรือมีชื่อเสียง ติดท็อปเท็นของโลกส่วนใหญ่มาจาก uk ซะเยอะนะครับ เห็นจากที่เอามาสร้างเป็นหนัง เป็นซีรี่ย์ แนวๆ แฟนตาซี
ไม่แน่นะอาจจะเป็น จอน,แดนี่,สแตนนิส,เอกอน,ทีเรียน,เจมี่,อาร์ย่า,ซานช่า,ไทวิน,เซอร์ซี,จอฟฟรี่ หรือใครอื่นอีกที่ไม่รู้จะโดนสอยเพราะตัวละครในเรื่องนี้บทจะถึงคราวก็ตายกันซะง่ายๆ