เนื้อเรื่องของเดอแนริสที่กระจัดกระจายอยู่ในตอนที่ 2 ผมจะขอเรียบเรียงตามหนังสือนะครับ คือมีบทยาวบทเดียวไม่ได้กระจายออก จะอยู่ท้ายๆ หน่อย ช่วงแรกเป็นเนื้อเรื่องในวินเทอร์เฟลทั้งหมดครับ . . . ทีเรียน (แปลบางส่วน จาก S 1 Ep 2) (ทีเรียนอ่านหนังสือทั้งคืนที่ห้องสมุด เสียงสุนัขป่าหอนดังโหยหวนไปทั่ววินเทอร์เฟลในเวลาเช้าตรู่ มันเป็นเสียงหอนที่ทำให้ผู้ชายตัวโตๆ รู้สึกกลัวได้เหมือนเด็กเล็กๆ ทีเรียนอ่านหนังสือทั้งคืนเป็นเรื่องปกติ เขาไม่ใช่คนที่ชอบนอนเท่าไหร่) (ทีเรียนปลุกเซปตาที่ดูแลห้องสมุดขึ้นมา บอกว่าหนังสือ “Engine of War” ของนักเขียน Ayrmidon's เป็นหนังสือที่หายากมาก และเล่มนี้เป็นเล่มที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ ทีเรียนกำชัดเซปตาให้รักษามันไว้ให้ดี เซปตาคนนี้เป็นผู้ชายครับ แล้วก็ออกไปเพื่อหาข้าวเช้า แล้วได้ยินเสียงของ เซนดอร์ คลิเกน เข้าระหว่างทาง) “เจ้าเด็กนั่นทำท่าจะตายมานานเกินไปแล้ว ข้าหวังว่ามันจะรีบสักหน่อย” ทีเรียนมองลงข้างล่างแล้วเห็น ‘หมาล่าเนื้อ’ (the Hound) ยืนอยู่กับเจ้าชายวัยเยาว์ จอฟฟรี่ และรายล้อมไปด้วยเด็กรับใช้ฝึกหัด “อย่างน้อยเขาก็ตายเงียบๆ น่ะนะ” เจ้าชายตอบ “มันเป็นพวกหมาป่านี่แหละที่หนวกหู ข้าแทบไม่ได้นอนเลยเมื่อคืน” เงาร่างของคลิเกนทอดยาวไปกับพื้นดินในขณะที่เด็กรับใช้สวมหมวกสีดำบนหัว “ข้าช่วยให้มันเงียบได้ ถ้าท่านต้องการ” เขาพูดผ่านช่องหน้ากาก เด็กรับใช้เอาดาบให้คลิเกน คลิเกนเหวี่ยงทดสอบน้ำหนักของมัน เบื้องหลังของเขามีเสียงคมเหล็กกระทบกันดังระงมขึ้นมา ข้อเสนอนั้นทำให้เจ้าชายปีติยินดี “ส่งหมาไปฆ่าหมา!” เขาอุทาน “วินเทอร์เฟลน่ะเหม็นเน่าหมาป่าเยอะแยะไปหมด พวกสตาร์คไม่รู้เรื่องหรอกถ้าหายไปสักตัว” ทีเรียนกระโดดข้ามบันไดขั้นสุดท้ายลงไป “ข้าขอไม่เห็นด้วยนะ หลานชาย” เขาบอก “พวกสตาร์คน่ะนับเลขได้มากกว่าหก ไม่เหมือนเจ้าชายบางคนที่ข้าอาจจะรู้จัก” (เซนดอร์ล้อเลียนทีเรียนและถกคารมกันเล็กน้อย แล้วทีเรียนก็เตือนจอฟฟรี่ให้ไปแสดงความเสียใจต่อลอร์ดและคุณหญิงสตาร์คเรื่องอุบัติเหตุของแบรน) จอฟฟรี่แสดงอาการเจ้าอารมณ์เท่าที่เจ้าชายจะทำได้ “ความเสียใจของข้าจะมีอะไรดีสำหรับพวกมันเหรอ?” “ไม่มีอะไรดีเลย” ทีเรียนพูด “แต่มันเป็นสิ่งที่คาดหวังจากตัวเจ้า พวกเขารู้สึกแล้วว่าเจ้าไม่โผล่หน้าไปเลย” “ไอ้เด็กสตาร์คนั่นไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้าสักหน่อย” จอฟฟรี่พูด “ข้าทนพวกผู้หญิงร้องให้คร่ำครวญไม่ได้หรอก” (ทีเรียนตบหน้าจอฟฟรี่ กำชับให้ไปคุกเข่าแสดงความเสียใจ จอฟฟรี่โวยวายว่าจะฟ้องแม่ ทีเรียนก็ตบซ้ำอีกครั้ง ทีเรียนถามหาพี่ชายจากเซนดอร์คลิเกน ได้ความว่ากินข้าวเช้าอยู่กับราชินี) (ในห้องอาหาร ทั้งเจมีและเซอร์ซีสวมชุดเขียวเข้มสีเดียวกันกับดวงตาของตัวเอง ลูกๆ คนอื่นของเซอร์ซีนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย) “โรเบิร์ตยังนอนอยู่?” ทีเรียนถามขณะกำลังขึ้นนั่งร่วมโต๊ะอย่างไม่ได้รับเชิญ เซอร์ซีชายตามองทีเรียนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ นางมองทีเรียนแบบนั้นเสมอๆ มาตั้งแต่วันที่เขาเกิด “พระราชาไม่ได้นอนเลย” นางบอก “เขาอยู่กับลอร์ดเอ็ดดาร์ด เขารับความเศร้าสร้อยของพวกนั้นลึกเข้าไปในใจของตัวเอง” “มีจิตใจที่กว้างใหญ่จริงๆ โรเบิร์ตของเรา” เจมีพูดพลางยิ้มเนือยๆ เจมีมักมองทุกอย่างเป็นเรื่องชิวๆ ไม่ทุกข์ร้อน น้อยครั้งนักที่เขาจะมองอะไรอย่างจริงจัง ทีเรียนรู้จักนิสัยของพี่ชายดี และไม่เคยคิดโทษอะไรเลย ตลอดเวลาวัยเด็กอันทุกข์ทรมาณของเขา มีเพียงเจมีคนเดียวเท่านั้นที่พอจะมีความรักและความเคารพให้กับเขาบ้าง และเพื่อสิ่งนั้น ทีเรียนพร้อมจะให้อภัยพี่ชายได้ทุกอย่าง (หลังจากร่วมโต๊ะทักทายสักพัก เจ้าชายทอมมินและเจ้าหญิงเมอร์ซิลลาก็ถามอาการของแบรน เด็กรุ่นเล็กเป็นห่วงแบรนกันอย่างจริงจัง พอได้ยินว่าแบรนจะไม่ตาย ทั้งสองคนพากันยิ้มแย้มดีใจ แต่ทีเรียนตั้งใจสังเกตุพี่ชายและพี่สาวมากกว่า และเห็นทั้งสองสบตากันอย่างลำบากใจแว่บหนึ่ง) (เซอร์ซีและเจมีแสดงความเห็นว่าแบรนควรจะตาย จะได้ไม่ต้องทรมาณกับความพิการและความเจ็บปวด ทีเรียนไม่เห็นด้วย แล้วเอาตัวเองเป็นตัวอย่าง) (หลังจากนั้นทั้งหมดก็คุยกันเรื่องออกเดินทางจากวินเทอร์เฟล เซอร์ซีแสดงความรังเกียจหมาป่าโลกันตร์อย่างเห็นได้ชัด นางคิดว่าพวกมันเป็นสัตว์ร้ายที่อันตราย และจะไม่ยอมให้พวกมันอยู่ที่คิงส์แลนดิงเด็ดขาด ส่วนทีเรียนอยากขึ้นเหนือไปเยี่ยมกำแพงก่อนกลับลงใต้ บอกว่าอยาก “ขึ้นกำแพงไปฉี่ข้ามขอบโลก” เซอร์ซีไม่พอใจจะให้เด็กๆ ฟังเรื่องแบบนั้น จึงพาเด็กๆ ลุกออกจากโต๊ะอาหารไป) “เขาควรจะจบความทุกข์ทรมาณของเด็กนั่นซะ” เจมีพูด “ข้าก็จะทำอย่างนั้นถ้าเป็นลูกชายข้า มันจะเป็นความปราณี” “ข้าขอแนะนำว่าอย่าเอาไปเสนอลอร์ดเอ็ดดาร์ดเข้าเชียวนะ พี่ชายที่รัก” ทีเรียนพูด “เขาจะไม่ฟังมันอย่างเป็นมิตรแน่” “ถึงเด็กจะไม่ตาย เขาก็พิการ ไม่สิ แย่กว่าอีก เขาจะกลายเป็นของแปลกประหลาดวิตถาร ให้ข้าได้ตายสบายๆ เถอะ” ทีเรียนยักไหล่ที่บิดเบี้ยวเป็นคำตอบ “พูดถึงของแปลก” เขาพูด “ข้าขอไม่เห็นด้วย ความตายนี่มันสุดๆ จริงๆ ในขณะที่ชีวิตช่างเต็มไปด้วยความเป็นไปได้” เจมียิ้ม “เจ้านี่ช่างเป็นปีศาจน้อยที่หัวแข็งจริงๆ” “โอ้ย ใช้แล้ว” ทีเรียนยอมรับ “ข้าหวังว่าเด็กจะตื่นขึ้นจริงๆ นะ ข้าสนใจมากเลยว่าเขาจะบอกอะไรพวกเรา” รอยยิ้มของพี่ชายเริ่มหมักหมมเหมือนนมเปรี้ยว “ทีเรียน น้องชายที่รัก” เขาพูดอย่างดำทะมึน “บางครั้งเจ้าก็ทำให้ข้าสงสัยจริงๆ นะว่าเจ้าอยู่ข้างไหนกันแน่” ปากของทีเรียนเต็มไปด้วยปลาและขนมปัง เขาดื่มเบียร์ดำอึกใหญ่เพื่อล้างอาหารลงท้อง แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยให้เจมี่ “ทำไมล่ะ เจมี่ พี่ชายที่รัก” เขาพูด “เจ้าทำร้ายจิตใจข้าจริงๆ เลย รู้นี่ว่าข้ารักครอบครัวขนาดไหน” . . . . . .
ก่อนเริ่มตอนต่อไปขออธิบายสัญลักษณ์ที่ผมใช้นิดนึงนะครับ (เรื่องราวในวงเล็บ คือ เนื้อเรื่องย่อ หรือคำอธิบายครับ) สิ่งที่เขียนนอกวงเล็บ คือบทแปลจากหนังสือ จุด 3 จุด 2 บรรทัด คือ จบบท ครับ . . . . . . จอน (แปลบางส่วน - S1 Ep1) (การบอกลาของจอนสโนว์เป็นอะไรที่หนักหนาสำหรับเขามาก วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่จอนยังอยู่วินเทอร์เฟล เขาต้องต่อสู้กับความเศร้าที่กำลังจะจากไป และต่อสู้กับความกลัวของตัวเองไปพร้อมๆ กัน เขากลัวใคร? เขากลัว แคทลิน ครับ) (จอนเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพักของแบรน เขาต้องยืนรวบรวมความกล้าอยู่หน้าห้องนานมากกว่าจะก้าวเท้าเข้าไปได้ เขารู้ว่าแคทลินเฝ้าไข้แบรนอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีห่าง) (แคทลินอยู่ในสภาพจิตใจแหลกเหลวสูญสิ้นความเป็นตัวของตัวเอง นางนั่งเฝ้าแบรนจนแทบไม่ได้นอน และป้อนน้ำ น้ำผึ้ง ยาสมุนไพรให้แบรนด้วยตัวเอง) จอนยืนนิ่งอยู่ที่ประตู หวาดกลัวเกินกว่าจะเอ่ยปากพูดอะไร หวาดกลัวเกินกว่าจะเข้าไปใกล้กว่านั้น เสียงสุนัขหอนดัเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ โกสต์เงยหน้าขึ้นไปมองเมื่อได้ยินเสียง คุณหญิงสตาร์คจ้องจอน เหมือนนางจะจำเขาไม่ได้อยู่สักระยะหนึ่ง จนในที่สุดนางก็กระพริบตา “มาทำอะไรที่นี่?” เธอถามด้วยเสียงที่เรียบและไร้อารมณ์อย่างแปลกประหลาด “ข้ามาหาแบรน” จอนตอบ “เพื่อกล่าวลา” สีหน้าของนางไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ผมสีน้ำตาลแดงของนางดูไร้ประกายและพันกันยุ่งเหยิง เหมือนอยู่ๆ นางก็อายุมากขึ้นสักยี่สิบปี “เจ้าพูดไปแล้วนี่ ทีนี้ไปให้พ้น” ส่วนหนึ่งของจอนอยากจะวิ่งหนีไปเหลือเกิน แต่เขารู้ว่าเขาอาจจะไม่ได้เห็นแบรนอีกแล้ว เขาก้าวเข้าห้องไปหนึ่งก้าวอย่างกระสับกระส่าย “ได้โปรด” เขาบอก อะไรสักอย่างที่เย็นยะเยียบขยับอยู่ในดวงตาแคทลิน “ข้าบอกว่า ไปให้พ้น” นางบอก “พวกเราไม่ต้องการเจ้า” ถ้าเป็นก่อนนี้ คำพูดของแคทลินคงทำให้เขาวิ่งหนีไปแล้ว คงทำให้เขาร้องไห้ไปแล้ว แต่ครั้งนี้มันเพียงทำให้เขาโมโห เขากำลังจะร่วมสาบานเป็นหนึ่งในพี่น้องของผู้พิทักษ์ราตรี เขาจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่อันตรายกว่าแคทลินสตาร์คมากนัก “เขาเป็นน้องชายของข้า” (แคทลินขู่จะเรียกทหารยามแต่จอนไม่สนใจ เขาเข้าไปจับมือแบรนที่ผอมแห้งเหมือนก้างปลา แบรนผอมมาก เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก และขาบิดเบี้ยวขนาดที่จอนเห็นแล้วถึงกับมวนท้อง สุนัขป่าของแบรนหอนเข้ามาทางหน้าต่างเป็นระยะ ก่อนหน้านี้แคทลินทนเสียงหอนไม่ได้สั่งให้ปิดหน้าต่าง แต่พอขาดเสียงหอนไปเท่านั้นแหละ แบรนก็ทรุดลงทันทีจนเกือบตาย จนต้องเปิดหน้าต่างให้เสียงหอนเข้ามาใหม่ เหมือนเสียงหอนจะมีพลังอะไรสักอย่างที่ช่วยเพิ่มพลังชีวิตของแบรนเอาไว้) (หลังจากกล่าวคำอำลาแล้ว จอนก็หันหลังเดินออกไป) จอนเดินไปถึงประตู แคทลินก็เรียกเขา “จอน” จอนคิดว่าเขาควรจะเดินต่อไปไม่สนใจ แต่แคทลินไม่เคยเรียกชื่อเขามาก่อนเลย เขาจึงหยุดเท้าแล้วหันไปมอง แคทลินกำลังจ้องหน้าจอนราวกับนั่นเป็นครั้งแรกที่นางเคยเห็นเขา “ครับ?” เขาถาม “มันน่าจะเป็นเจ้า” นางบอกเขา หันกลับไปหาแบรนแล้วเริ่มร้องไห้ ร่างนางสั่นไปตามการสะอึกสะอื้น จอนไม่เคยเห็นนางร้องไห้มาก่อนเลย (จอนแทบหมดแรงเมื่อเดินออกจากห้อง การประจัญหน้ากับแคทลินได้สูบพลังงานจากเขาเป็นจำนวนมหาศาล) (หลังจากนั้นจอนก็เดินกลับลงไปที่ลานปราสาทชั้นล่าง ร็อบอยู่ที่นั่นพอดี ทั้งคู่กล่าวลาและสวมกอดกัน แล้วจอนก็ขอตัวไป) (จอนไปที่ห้องของอารยา เห็นกระเป๋าเพิ่งเต็มแค่ 1/3 และเสื้อผ้าเต็มห้อง อารยาบ่นเรื่องเซปตามอร์เดนสั่งให้เธอจัดกระเป๋าใหม่ เมื่อจอนบอกว่าเขามีของขวัญจะให้ และบอกให้อารยาปิดประตู อารยาปิดประตูและให้ไนมีเรีย สุนัขป่าของเธอคอยเฝ้าอยู่หน้าห้อง) จอนดึงห่อผ้าออกแล้วยื่นของสิ่งนั้นให้อารยา อารยาถึงกับตาโต มันเป็นดวงตาสีเข้มเช่นเดียวกับดวงตาของเขา “ดาบ” เธอพูดเสียงเล็กๆ พลางหอบหายใจ ปลอกของมันเป็นหนังสีเทาที่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่น จอนชักดาบออกจากปลอกช้าๆ โชว์ให้อารยาเห็นประกายสีฟ้าในเนื้อเหล็กไหล “นี่ไม่ใช่ของเล่น” เขาบอกเธอ “ระวังอย่าตัดตัวเองเข้าล่ะ มันคมพอจะโกนหนวดได้เลยนะ” “ผู้หญิงไม่ต้องโกนหนวดสักหน่อย” “จริงๆ ก็น่าจะโกนหน่อยนะ เคยเห็นขาของเซปตามั้ย?” (อารยาหัวเราะคิกคัก ทั้งคู่คุยกันว่าดาบเล่มนั้นผอมเหมือนตัวอารยา จอนเชื่อว่าเมืองใหญ่อย่างคิงส์แลนดิงต้องมีครูฝึกดาบดีๆ ให้อารยาแน่) “คิงส์แลนดิงเป็นเมืองของจริง ใหญ่กว่าวินเทอร์เฟลสักพันเท่า จนกว่าเจ้าจะเจอคู่ซ้อมก็คอยดูคนอื่นฝึกกันไปก่อนนะ เจ้าต้องซ้อมวิ่ง ซ้อมขี่ม้า ออกกำลังให้แข็งแรง และไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ตาม . . .” อารยารู้ว่าจอนกำลังจะพูดอะไร เธอพูดพร้อมกับเขา “อย่า . . . ให้ . . . ซานซา . . . รู้!” จอนยีผมของเธอ “ข้าจะคิดถึงเจ้า น้องสาวตัวน้อยเอ๋ย” ทันใดนั้นอารยาก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “ข้าอยากให้พี่เดินทางมากับพวกเรา” “ถนนต่างเส้นกันอาจพาเราไปยังปราสาทหลังเดียวกันก็ได้ ใครจะไปรู้?” ตอนนี้จอนรู้สึกดีขึ้นมาก เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองเศร้าสร้อยอีกต่อไปแล้ว “ข้าควรต้องไปแล้วล่ะ ข้าโดนจับล้างส้วมตลอดปีแน่ถ้าปล่อยให้ท่านอาเบนจินรอนานเกินไปกว่านี้” อารยาวิ่งเข้าหาจอนเพื่อจะกอดเป็นครั้งสุดท้าย “วางดาบลงก่อน” จอนหัวเราะแล้วร้องเตือน เธอวางลงข้างกายอย่างอายๆ แล้วพรมจูบให้เขา เมื่อเขาหันหลังเดินไปที่ประตู เธอก็หยิบดาบขึ้นมาลองสมดุลย์ของมัน “เกือบลืมแน่ะ อาวุธสุดยอดทุกชิ้นต่างก็มีชื่อ” “เหมือนดาบไอซ์” เธอบอก แล้วมองดูดาบในมือของเธอ “อันนี้มีชื่อรึเปล่า? โอ บอกข้าหน่อย” “เดาไม่ถูกเหรอ?” จอนหยอก “สิ่งที่เธอรักที่สุดไง” ตอนแรกอารยาดูงงๆ แล้วเธอก็เข้าใจ เธอเป็นเด็กหัวไว ทั้งสองพูดมันพร้อมกัน “นีเดิ้ล!” จอนเก็บเสียงหัวเราะของอารยาไว้ในความทรงจำ มันช่วยให้ความอบอุ่นกับเขาระหว่างการเดินทางขึ้นเหนือที่แสนหนาวเย็น . . . . . .
ตัวล่าสุดน่ะค่ะ รู้สึกผลิตภัณฑ์จะชื่อ AXE 2012 ประมาณว่าชายหนุ่มที่หน้าเหมือนจอนคนนี้ เขาไปสร้างเรือโนอาห์ เพราะปี 2012 โลกจะแตกอ่ะค่ะ แล้วพอเขาฉีดAXE 2012 สาวๆก็มาขึ้นเรือเขาตรึมเลยค่ะ
ตอนนี้ประโยคที่ฮิตสุดคือ Water is coming เลยค่ะ ไม่ควรพลาดข่าวสักวินาที เราว่านายแบบหน้าเหมือนหนุ่มจอน แต่ดูเหมือนจะสูงวัยกว่าน่ะค่ะ
ความรู้สึกของตัวละครที่พูดว่า Winter is coming! คงอารมณ์เหมือนเราได้ยินว่า Water is coming! ฟังแล้วสะท้อนความหวาดกลัว กลัวสิ่งที่กำลังจะมา และต่าง ๆ นานา น่ากลัวจริง ๆ ครับ Edit: และเรื่องน้ำครั้งนี้คงเป็นเรื่องเล่าต่อไป
ไม่รู้เทพทั้งเจ็ดจะคุ้มครองเราทันหรือเปล่า สฤานการณ์เริ่มตึงเครียดตั้งแต่เห็นปริมาณรฤที่จอดบนทางด่วนแล้วค่ะ
ฮ่า ๆ ๆ ผมพยายามหารูปที่โอเค ๆ หน่อยอะครับ วันนนี้งานไม่เยอะ หาเจอรูปนี้อ้วน ๆ หน่อยค่อนข้างคล้ายผมดี