ระดับท่านจารย์ใหญ่มาเอง ผมก็ขอนั่งเป็นผู้ฟังที่ดีเลยคับ การพ่นไฟนี่ยังไงคับ ต่อมพ่นไฟอะไรหรือป่าว? จริงๆ ใน GOT บอกว่ามังกรกระดูกสีดำเพราะมีเหล็กสูงทำเอางงมากครับ เพราะเหล็กแท้ควรมีสีออกเงินหรือเทา กรณีถูกทิ้งไว้ก็จะเกิดปฏิกิริยากับอากาศ อันนี้ก็จะเกิดเป็นสารประกอบเกิดเป็นหลายสีทั้งเหลือง แดง เขียวเข้ม แต่ไม่หน้าจะมีดำ ถ้าจะเกิดเป็นสีดำจริงๆ คงต้องบอกว่ามาจากคาร์บอนปนเปื้อนครับ ซึ่งก็ไม่แปลกเลยเพราะร่างกายเราประกอบขึ้นจากไฮโดรคาร์บอนซึ่งมีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบสำคัญเลย คาร์บอนก็คือถ่านเพราะงั้นเวลาเผากระดูก/ร่างกายเราจึงกลายเป็นสีดำนั่นเอง
น่าจะเป็นเหล็กแบบสารอาหารมากกว่านะครับ เป็นส่วนประกอบนึงของฮีโมโกลบิน ทำให้เลือดสีเข้มข้น ป้องกันโลหิตจางได้ด้วย
มังกรในแต่ละประเทศก็จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป เช่น พันธุ์ฮังกะรีหางหนาม พันธุ์เวลล์สีเขียว พันธุ์สวีเดนจมูกสั้น พันธุ์จีนลูกไฟ..
กระทู้นี้สนุกมากครับ ได้ฟัง อาจารย์หลายๆท่าน แสดงความคิดเห็นแล้ว อยากให้มีคาบเรียน เรื่อง รายละเอียดเรื่องอื่นๆ ในSOIAF อีกครับ
เหล็กในธรรมชาติอยู่ในรูปสารประกอบเสมอ ถ้ากระดูกมังกรมีเหล็กเป็นส่วนประกอบมาก ซึ่งน่าจะอยู่ในไขกระดูกหรือเนื้อเยื่อรอบๆ การเปลี่ยนเป็นสีดำน่าจะเกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงซึ่งปลดปล่อยฮีโมโกลบินออกมา จากนั้นจึงทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ที่ผลิตโดยแบคทีเรียที่เข้าไปย่อยสลายไขกระดูกและเนื้อเยื่อโดยมีการย่อยสลายซัลเฟตด้วยซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการหายใจโดยไม่ใช้อากาศ การย่อยสลายนี้ทำให้เกิดไอร์ออน ซัลไฟด์ (Iron Sulfide) ซึ่งมีสีดำตกค้างในเนื้อเยื่อ ไอร์ออน(II) ออกไซด์มีสีดำ แต่มันไม่น่าจะเกิดในร่างกายสิ่งมีชีวิตได้ เพราะเหล็กมักกลายเป็นไอออน Fe2+ หรือ Fe3+ เมื่อกลายเป็นสารประกอบอื่นๆที่เกิดในร่างกายเช่น ฮีโมโกลบิน,ไมโอโกลบิน(โปรตีนสะสมออกซิเจนในกล้ามเนื้อ), หรือเฟอร์ริทิน(โปรตีนที่เซลล์ใช้เก็บและปล่อยเหล็ก) เลือดโดนอากาศนานๆก็ไม่น่าใช่เพราะถึงจะเข้มแค่ไหนก็น่าจะออกสีน้ำตาลแดงมากกว่า ทั้งหมดนี้เป็นแค่การคาดเดาแนว Sci-Fi โดยสมมติว่ามังกรมีอยู่จริงและกระดูกไม่ดำตอนที่มีชีวิตด้วยนะครับ ไม่เกี่ยวกับ GoT เลยครับ เป็นภาพประกอบชื่อสมาชิกของผม นักเล่านิทานกำลังเป่าควันตะเกียงเป็นรูปร่าง รอสักพักครับ ขอเตรียมตัวก่อน
มาเพิ่มเติมหน้าที่ของกระดูกที่เกี่ยวข้องนิดนะครับ ในกระดูกมีไขกระดูกที่ผลิตเม็ดเล็ดทั้งแดงและขาว ร่วมทั้งยังสะสมแร่ธาตุที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายกรณีที่มีมากเกินไป การสะสมนี่เองที่เป็นที่มาของสีคับ คำตอบของอาจารย์ใหญ่ทำเอาผมฟินเลย 555
ใช่คับ สารพิษส่วนให้จะสะสมในตับ แต่ถ้ากรณีที่แร่ธาตุจะไปกระดูก ผมพูดผิดไปหน่อยแร่ธาตุจะมากหรือน้อยก็จะไปสะสมที่กระดูกได้ครับ อย่างของมนุษย์มักจะมีแค่แคลเซียมกับฟอสฟอรัสเป็นหลัก แต่ก็อาจมีสังกะสี โพแทสเซียม แมกนีเซียม ทองแดงปนอยู่บ้างเล็กน้อยคับ
หลักการเดียวกับการสลายตัวของซากสิ่งมีชีวิต การเกิดเนื้อตาย และการกลายเป็นแร่ธาตุของฟอสซิลครับ ในกรณีหลังคือ ฟอสซิลเกิดจากการเข้าแทนที่อินทรียสารโดยแร่ธาตุ (Pseudomorph) โดยไอร์ออนซัลไฟด์ที่เกิดในสภาวะการเน่าเปื่อย เช่นหนองบึงน้ำนิ่งที่มีซากพืชและสัตว์ที่กำลังเน่าเปื่อย เมื่อแบคทีเรียใช้ออกซิเจนจนหมด ค่า pH ในหนองบึงจะเพิ่มและมีแอมโมเนียเกิดขึ้น ส่วนประกอบซัลเฟตในหนองบึง(น่าจะรวมส่วนที่อยู่ในสิ่งมีชีวิตด้วย กำมะถันเป็นสารประกอบร่วมของอินทรียสารเช่นโปรตีน เอนไซม์ กรดอินทรีย์ โปรตีนโลหะ และอนินทรียสารจำนวนมาก) ถูกรีดิวซ์ (ปฏิกิริยารีดักชั่น) โดยแบคทีเรียซึ่งทำให้เกิดไอร์ออนซัลไฟด์ซึ่งตกผลึกภายในและรอบๆกระดูกหรือไม้ ไอร์ออนซัลไฟด์ในฟอสซิลคือมาร์คาไซต์ (Marcasite) กับไพไรต์ (Pyrite) ซึ่งมีสูตรเคมี FeS2 เหมือนกัน และมีสีออกดำเมื่อถูกบรรยากาศภายนอกนานๆ ทั้งสองอย่างต่างกันตรงโครงสร้างผลึกและเสถียรภาพ มาร์คาไซต์เสถียรน้อยกว่า มันทำปฏิกิริยากับน้ำและออกซิเจนในอากาศ กำมะถันจะออกซิไดซ์และรวมตัวกับน้ำกลายเป็นกรดซัลฟิวริกซึงไปกัดกร่อนแร่ธาตุซัลเฟตอื่นๆ ไพไรต์ทำปฏิกริยากับน้ำและออกซิเจนในอากาศแล้วสลายตัวเป็นไอร์ออนออกไซด์กับซัลเฟต กระบวนการนี้จะเกิดเร็วขึ้นถ้ามีแบคทีเรีย Acidithiobacillus ซึ่งออกซิไดซ์เฟอร์รัสไอร์ออน (Fe2+) เป็นเฟอร์ริกไอร์ออน (Fe3+) ด้วยออกซิเจน เฟอร์ริกไอร์ออนจะกัดกร่อนไพไรต์เพื่อสร้างเฟอร์รัสไอร์ออนและซัลเฟตเพิ่ม ซึ่งจะถูกแบคทีเรียนำไปออกซิไดซ์เพื่อเผาผลาญเป็นอาหาร กระบวนการนี้จะเกิดไปเรื่อยจนไพไรต์หมด ซัลเฟตรวมตัวกับน้ำกลายเป็นกรดซัลฟิวริกซึ่งกัดกร่อนแร่ธาตุรอบๆอีก กระบวนการทั้งหมดนี้เรียกว่า Pyrite Decay ซึ่งทำลายฟอสซิล ฟอสซิลจึงต้องถูกทำความสะอาดเพื่อลดไพไรต์และมาร์คาไซต์ซึ่งทำได้ยากเพราะเป็นผลึกแข็ง เก็บในที่แห้ง ต้องฉีดยาฆ่าเชื้อเป็นพักๆ เหมือนเดิมครับ เป็นการคาดเดาเท่านั้น ในกรณีของกระดูกมังกร ไอร์ออนซัลไฟด์ที่เกิดน่าจะเป็นประเภทที่ทำให้เกิดสีดำซึ่งน่าจะเป็นไอร์ออน(II)ซัลไฟด์ หรือไม่ก็อาจจะเป็นสารประกอบเหล็กอย่างอื่นที่มีสีดำซึ่งเกิดด้วยวิธีอื่น และมีอะไรบางอย่างที่ทำให้กระดูกยังแข็งแกร่งและน้ำหนักเบาทั้งที่มีเหล็กมากซึ่งตามปกติสารประกอบของเหล็กมีน้ำหนักมากกว่าเหล็ก (น่าจะเป็นเวทย์มนตร์หรือไม่ก็การปล่อยวางความไมเชื่อเนื่องจากเป็นนิยายแฟนตาซี) เพราะถ้ากระดูกมังกรเป็นอย่างนี้จริงๆก็ไม่มีทางเป็นสุดยอดวัตถุดิบสำหรับสร้างอาวุธได้เพราะกระดูกจะเปราะบางแต่หนักมาก กลายเป็นกระทู้เรื่องชีวเคมีไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แฮะ:D สงสัยหลักสูตรนี้ต้องใช้ความรู้แขนงนี้ด้วย
คับ ถ้าเป็นเหล็กสองซัลไฟด์ได้สีดำแน่ๆๆ แต่การเกิดได้ปกติอย่างที่ท่านจารย์ใหญ่กล่าว ถ้าเกิดนอกร่างกายผมไม่สงสัยเลย แต่มันดันเกิดในร่างกายจะบอกว่าหลังตายแล้วชื้นมันก็จะเว่อไปหน่อย แต่ผมก็ยังฟินต่อกับ biochem วันนี้คับ ^^ จะว่าไปผมยังไม่เคยเห็นฟอสซิลกระดูกสีดำเลย
อ้อมีปฏิกิริยาในเซลเม็ดเลือดกะเซลไขกระดูกเยอะขนาดนี้เลยคายพลังงานเยอะจนลมหายใจร้อนสินะคะ (เจออาจารย์หลายรายแล้วกดดันไม่กล้าทำน้ำทะเลเลอะห้องเรียน)
ถ้าเป็นของที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ฟอสซิลพวกนั้นถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ตามปกติร่างกายสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งแวดล้อมไ่ม่ได้มีเหล็กมากมายขนาดทำให้กระดูกเปลี่ยนสีจนดำมืดอย่างในนิยายหรอกครับ เต็มที่ก็เป็นสีคล้ำ นั่นเป็นนิทานในคราวต่อไปครับ ส่วนนิทานเรื่องชีวเคมีมังกรก็จบเพียงเท่านี้ (เพราะรู้สึกจะออกทะเลจนไม่เห็นฝั่งมาหลายคืนแล้ว)
แล้วปฏิกิริยาในร่างกายมังกรมันทำให้เกิดไฟขึ้นมาได้ยังไงอ่ะ มีอะไรเป็นประกายไฟ มีอะไรเป็นเชื้อเพลิง ออกซิเจนคงมีอยู่แล้ว เอ่อขอแบบเข้าใจง่ายขึ้นนี้ดนึงได้ไหม เห็นตัวหนังสือเป็นพืดๆแล้วตาลายมาก โดยเฉพาะกับเรื่องวิชาการ
จากหนึ่งพันหนึ่งราตรีโดยราชินีเชเฮราซาดครับ พอดีเลยครับ ผมเจอส่วนที่ผิด กำัลังจะแก้พอดี หนนี้อ่านเข้าใจง่ายขึ้นด้วยแต่เยอะกว่าเดิม ตอนแรกผมเข้าใจว่าการที่กระดูกดำเพราะมีเหล็กเยอะหมายถึงมีเหล็กเป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลักมากจนแทบเรียกว่ากระดูกเหล็กได้ ผมเลยเข้าใจว่ามันทำให้เกิดสารประกอบพวกไอร์ออนซัลไฟด์เยอะมากจึงควรมีน้ำหนักมากตาม แต่มาคิดดูอีกที ถ้ามันหนักมากมันก็จะขัดแย้งกับรายละเอียดในนิยาย และมังกรจะบินได้ยังไงถ้ากระดูกหนัก แล้วก็ปริมาณกำมะถันที่อยู่ในรูปซัลเฟตในร่างกายจะต้องเยอะมากจนไม่น่าเป็นไปได้ (ร่างกายคนปกติมีอยู่ร้อยกรัมเศษๆ) ถึงจะเป็นการสมมติว่ามังกรใน GoT มีจริงก็ต้องคำนึงถึงความเป็นจริงด้วย เป็นเพราะผมเอาไปเปรียบเทียบกับการเกิดฟอสซิลแล้วก็ลืมไปว่าซัลเฟตที่เข้าไปอยู่ในฟอสซิลมาจากภายนอกเยอะมาก การเดาจึงต้องถือว่ากระดูกมีเหล็กเยอะพอจะทำให้ดำแต่ไม่ทำให้กระดูกหนักด้วย ผมแยกเป็นสองอย่างคือ 1.สีดำเกิดจากการย่อยสลาย เหล็กอาจอยู่ในไขกระดูกและเนื้อเยื่อรอบๆในรูปโปรตีนโลหะหรือเป็นส่วนประกอบในส่วนกระดูกด้วย กระดูกไม่ดำตั้งแต่แรก เมื่อสิ่งมีชีวิตตาย ส่วนที่เป็นสารประกอบซัลเฟตในร่างกายจะถูกแบคทีเรียนำไปใช้ในการย่อยสลายอินทรียสารแล้วได้ผลผลิตเป็นไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือแก๊ซไข่เน่าเมื่อรวมตัวกับไอออนของโลหะก็จะกลายเป็นซัลไฟด์ของโลหะ ถ้าเป็นเหล็กก็ได้ไอร์ออน(II)ซัลไฟด์หรือเฟอร์รัสซัลไฟด์ซึ่งมีสีดำและไม่ละลายน้ำ เป็นสิ่งที่ทำให้ซากที่กำลังเน่ามีสีดำ เนื้อตาย และน้ำเสียมีสีดำก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน ถ้าสีถึงกับดำก็แสดงว่ามีเฟอร์รัสซัลไฟด์เยอะ ถ้ามันกระจายอยู่ในกระดูกเป็นจำนวนมากจนทำให้เป็นสีดำก็น่าจะส่งผลร้ายต่อโครงสร้าง เพราะสารประกอบจำพวกไอร์ออนซัลไฟด์ไม่เสถียร ทำปฏิกิริยากับความชื้นและอากาศแล้วทำให้เกิดออกไซด์ของซัลเฟอร์ซึ่งจะกลายเป็นสารกัดกร่อนและไฮโดรเจนซัลไฟด์อีก และเป็นไปได้มากว่าแบคทีเรียยังย่อยสลายอยู่ กระดูกจะผุกร่อนไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ก็เอามาใช้ทำอาวุธไม่ได้แน่ๆ 2.กระดูกเป็นสีดำตั้งแต่แรกแล้ว เหล็กเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างกระดูกด้วย ส่วนนี้ถือว่าการที่มีเหล็กมากแล้วทำให้เป็นสีดำก็เหมือนกับกรณีหินอัคนีสีดำ (Mafic) หรือทรายเหล็ก (Ironsand) ซึ่งมีส่วนประกอบที่เป็นเหล็กสูงซึ่งอยู่ในรูปไอร์ออน(II,III)ออกไซด์ (หมายถึงมีเหล็กประจุ 2+ และ 3+ อยู่ด้วยกัน) เรียกอีกอย่างว่าเฟอร์ริค/เฟอร์รัสออกไซด์ หรือแมกนีไทต์ ซึ่งมีในสิ่งมีชีวิตที่สัมผัสสนามแม่เหล็กได้เช่นแบคทีเรีย Magnetotactic ที่ภายในอวัยวะเซลล์ และนกพิราบที่ในจะงอยปาก เป็นอนุภาคนาโนคริสตัล และเป็นส่วนลิ้นครูดอาหาร (radula) ของสัตว์น้ำประเภทมอลลัสก์ (หอย, หมึก) ชนิดไคตัน (Chiton) หรือลิ่นทะเล ออกไซด์เหล็กอีกอย่างที่มีสีดำคือไอร์ออน(II)ออกไซด์หรือเฟอร์รัสออกไซด์ซึ่งไม่เกิดในสิ่งมีชีวิตปกติและไม่เสถียรที่อุณหภูมิห้องและไวต่ออากาศ อย่างหลังเลยไม่น่าใช่ กระดูกเป็นวัสดุเนื้อผสม (Composite) ตามปกติก็คือแร่ธาตุที่มีแคลเซียมและฟอสเฟตชื่อไฮดรอกซีลาพาไทต์(Hydroxylapatite)กระจายอยู่ในคอลลาเจนที่เป็นเนื้อพื้น ถ้าเป็นกระดูกมังกร โครงสร้างที่เป็นไปได้คือเหล็กในกระดูกอยู่ในรูปแบบแมกนีไทต์กระจายอยู่ในคอลลาเจนด้วย ส่วนที่เป็นแมกนีไทต์ให้ความแข็ง ส่วนที่เป็นแร่ธาตุก็ให้ความแข็ง ส่วนที่เป็นคอลลาเจนให้ความเหนียวยืดหยุ่น ทั้งหมดส่งเสริมกันทำให้กระดูกทั้งแข็งแกร่ง ยืดหนุ่น และมีน้ำหนักเบากว่าโลหะ จึงเข้ากับคุณสมบัติที่นิยายบอกไว้ แต่ถ้าสามารถเอาไปตีเป็นเกราะหรืออาวุธได้เหมือนโลหะก็คงต้องเป็นวัสดุนาโนจำพวกคาร์บอนนาโนทิวบ์ (เพราะสามารถเกิดในธรรมชาติได้จึงเป็นไปได้มากกว่า) ที่มีสารประกอบเหล็กที่อยู่ในรูปคาร์ไบด์ (สิ่งมีชีวิตปกติสร้างไม่ได้) หรือออกไซด์อยู่ภายใน จึงได้ทั้งความแข็งแกร่ง เหนียวยืดหยุ่น และน้ำหนักที่เบามาก ซึ่งมังกรต้องมีความสามารถที่จะสร้างมันขึ้นมาในโครงสร้างกระดูก เหมือนสิ่งมีชีวิตในหนังเรื่อง Avatar ที่มีกระดูกทำจากเส้นใยคาร์บอน เหมือนเดิมครับ คาดเดาล้วนๆ หวังว่าคงอ่านสนุกไม่ปวดหัวนะครับ
โอ้โห มีตั้ง Hypothesis ด้วย ถ้ากระดูกมังกรเป็นคาร์บอนนาโนทิวบ์ งั้นที่ตระกูลทาร์แกเรียนสามารถฟักมังกรได้จริงก็แค่เพราะว่า คนตระกูลนี้แค่ปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาได้เหมาะสมแค่นั้นสินะคะเนี่ย. ปัญหาอยู่ที่การพิสูจน์ งั้นคงต้องให้แดนนี่หรือแบรนท์ลองบดกระดูกมังกรทาที่ลูกบอลดู ถ้าเด้งได้สูงกว่าลูกบอลปกติ 7เท่าก็ถือว่าผ่าน เอ๊ะ ว่าแต่ว่าจะหาลูกบอลกันได้มั้ยหละเนี่ย (กระทู้ออกนอกโลกขนาดนี้ใครจะยอมพลาด555)
นิยายยังไม่บอกว่ามันเอาไปทำอะไรได้บ้างนอกจากคันธนู ซึ่งน่าจะผ่่านกระบวนการขึ้นรูป แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียด ถ้าเอาไปตีขึ้นรูปเหมือนโลหะได้เหมือนกระดูกมังกรในเกมแฟนตาซีอืืนๆเช่น Dragon Age กับ Skyrim ก็คงต้องเอาเข้าเตาไฟ ถ้าเป็นกระดูกปกติก็คงไหม้หมด ผมก็เลยเดาว่าต้องเป็นวัสดุแข็งแกร่ง ยืดหยุ่น น้ำหนักเบา ทนความเค้นกับความเครียดสูง ทนความร้อนสูง นำความร้อนได้ดีมาก (ตามแนวยาวของโครงสร้างโมเลกุล ตามแนวขวางเป็นฉนวนชั้นยอด) และเกิดในธรรมชาติได้ ซึ่งน่าจะเป็นคาร์บอนนาโนทิวบ์ ข้างล่างเป็นข่าวเรื่องการค้นพบแบคทีเรียที่สร้างคาร์บอนนาโนทิวบ์ได้ (ถ้าไ่ม่เคยดู Avatar มา ผมก็คงไม่นึกถึง) http://www.sciencedaily.com/releases/2007/12/071207150717.htm เรื่องลูกบอลเด้งนี่คุณ Rheagar พูดถึง ผมว่าน่าจะหมายถึงสุดยอดวัสดุยืดหยุ่นที่เรียกว่า Zectron นะ ลูกบอลที่สร้างจากวัสดุนี้เด้งข้ามตึกสูงสามชั้นได้ถ้าถูกขว้างลงที่พื้นด้วยแรงคนปกติ ถ้าเป็นคาร์บอนนาโนทิวบ์ก็คงเป็น Carbon nanotube spring ที่จุพลังงานได้มากกว่าสปริงเหล็กกล้าราวๆ 2,500 เท่าและมีความแข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และแข็งเกร็งมหาศาล สถาบันวิจัยหลายแห่งกำลังหาทางสร้างเครื่องจักรระดับนาโนเพื่อเอาพลังงานที่เก็บไว้ในสปริงคาร์บอนนาโนทิวบ์มาใช้ ส่วนนี่ เรื่องลิ่นทะเล สิ่งมีชีวิตที่มีอวัยวะครูดอาหารทำด้วยเหล็กในรูปแม็กนีไทต์ http://www.asnailsodyssey.com/LEARNABOUT/CHITON/chitFeed.php ชีวเคมีก็ไปมาแล้ว วัสดุศาสตร์ก็ไปมาแล้ว คราวหน้าเราจะพากระทู้ออกท่องทะเลที่ไหนดีครับ?
ถูกต้อง ต้องใช้เชื้อเพลิง สิ่งสันดาป และออกซิเจน (กับจินตนาการสุดบรรเจิด) แต่นั่นเป็นนิทานในคราวต่อไป