นิยายที่ผมพึ่งแต่ง (ไม่เคยแต่งมาก่อน)

กระทู้จากหมวด "ห้องนั่งเล่น" โพสต์โดย KnightWra1h, 21 ตุลาคม 2013.

  1. plakinmek

    plakinmek ราชองค์รักษ์

    การใช้ภาษานับว่าดีขึ้นจากช่วงแรกๆ แล้วค่ะ
    เราไม่รู้ว่าคนเขียนตั้งเป้าหมายกับมันไว้ยังไง แค่เขียนให้จบแล้วเขียนเรื่องใหม่ หรือว่าจะแก้ไขมันจนกว่าจะเป็นนิยายที่ตัวเองพอใจ

    ...ถ้าอยากจะพัฒนาขับเคี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ ต้องบอกว่าการใช้ภาษานอกจากจะต้องสะกดให้ถูกแล้ว(ซึ่งคุณก็ทำได้ดี) มันยังผูกติดกับ "เทคนิก" ด้วยค่ะ ก็เลยเป็นเหตุผลที่เราเสนอให้คุณลองชำแหละหนังสือเรื่องที่ชอบ เพราะจะเป็นการเรียนลัดขั้นตอนหลายๆ อย่าง คุณ Amarill เองก็แนะนำให้คุณอ่านเยอะๆ อันนี้ไม่ใช่คำไล่ตัดปัญหาของนักอ่านนะคะ ลองสังเกตตัวเองได้ ถ้าคุณอ่านเยอะๆ จนถึงระดับนึง เวลาเขียนมันจะลื่นขึ้นมากเลยล่ะค่ะ (แต่ต้องหาเอกลักษณ์ของตัวเองด้วยนะคะ ไม่งั้นเราจะกลายเป็นเงาของนักเขียนที่เราชอบไปซะงั้น)

    ปัญหาสำคัญของเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องแฟนตาซีคือ คุณบอกแต่คุณไม่ได้แสดงให้เห็น เวลาอ่านคนอ่านเลยไม่ค่อยอิน ลองไปอ่านหลัก "Show, don't tell" ดูนะคะ

    http://www.forwriter.com/mysite/forwriter.com/newwriterroom/newwritebasic.htm (อยู่หัวข้อที่ 9 ค่ะ)
    Hodor is coming, Kurodo, Amarill และอีก 3 คน ถูกใจข้อความนี้
  2. ชาซารี

    ชาซารี ราชองค์รักษ์

    อ่านแล้วมันรู้สึกตื้นๆยังไงก็ไม่รู้ เหมือนเปิดมาแป๊ปนึง ไม่ทันได้ปูพื้นอะไร ก็เข้าฉากแอ็คชั่นติดๆกัน แต่ละคนโชว์พาวกันใหญ่ เนื้อเรื่องใช้ได้ อ่านรู้เรื่อง แต่เราเป็นพวกอ่านนิยายแบบไม่จำข้อมูล อยากให้ทำสรุปข้อมูลของแต่ละตัวละครหน่อยว่าใครเป็นไง พลังอะไร มาจากไหน
    KnightWra1h และ plakinmek ถูกใจข้อความนี้
  3. KnightWra1h

    KnightWra1h ทหารม้า



    อ่าาา ผมจะปรับปรุงนะครับ แล้วจะสรุปข้อมูลตัวละครให้นะครับ ตอนนี้ผมกำลังพยายามอ่านนิยาย เพื่อจะนำไปปรับปรุงเนื้อเรื่องและเรียบเรียงของประโยค คำศัพท์ ซึ่งบอกตามตรงว่าที่ลงไป ผมขาดการไตร่ตรองและปูเนื้อเรื่องจริงๆครับ ลงมาแบบดาดๆ ตรงขออภัยด้วยยนะฮะ แต่ขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็นนะครับ
    CherryBoy, Hodor is coming, Źéńőń และอีก 1 คน ถูกใจข้อความนี้
  4. plakinmek

    plakinmek ราชองค์รักษ์

    ช่วงแรกของนักเขียนหน้าใหม่เป็นยังงี้กันแทบทั้งนั้นค่ะ ไม่ต้องกังวลค่ะ (y)
    KnightWra1h และ Źéńőń ถูกใจข้อความนี้
  5. KnightWra1h

    KnightWra1h ทหารม้า

    บทนำ

    หลังจากสงครามแห่งเผ่าพันธุ์ (War of Clans) ได้จบลงไป การตายของผู้สร้างและเผ่าแห่งพงไพร ทำให้เทพแห่งความตายที่ต้องการนำความตามมาปกคลุมแผ่นดินแห่งไพรม์ที่ผู้สร้างหรือเทพแห่งชีวิตได้สร้างไว้ ปัจจุบันทำให้เผ่าแห่งความมืดได้กลายเป็นสมุนรับใช้ของเทพแห่งความตาย ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ ทั้ง 4 เผ่าที่เหลือได้ร่วมกันก่อตั้งองค์กรขึ้นมาใหม่ภายใต้ชื่อว่าThe Lantern of Light หรือตะเกียงแห่งแสง เพื่อเป็นแสงสว่างคอยสอดส่องอันตรายจากความมืดและเป็นกองกำลังที่แต่งตั้งมาเพื่อพิทักษ์เผ่าพันธุ์มนุษย์และโลกโออา

    ณ ดินแดนแห่งเงา (Land Of Shadow) ปราสาทดำ (Castle Black) ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าภูเขาไฟ รายรอบไปด้วยหมู่บ้านของพลเมืองแห่งความมืด ประดับด้วยเครื่องเงินที่ดูน่าพรั่นพรึง สุดฟากด้านในของท้องพระโรง เหนือบัลลังก์เหล็กสีดำกษัตริย์แห่ง ดาร์คซีกเกอร์ แบล็คคิงประทับอยู่ที่บัลลังก์ในชุดเกราะสีดำสลักเป็นลวดลายมังกรสีแดง สวมหน้ากากปีศาจปิดบังใบหน้า เสียงประตูบานใหญ่เปิดออก ทำให้แบล็คคิงเหลือบตาขึ้นไปมอง ชายในชุดเกราะสีเทาสลักเป็นรูปอสรพิษสีเชียว ผู้มีดวงตาสีแดงและมีแววตาที่แข็งกร้าวที่โดดเด่นบนใบหน้าขาวซีดเดินเข้ามาพร้อมกับคุกเข่าลง

    “ข้ามารายงานตัวแล้วขอรับฝ่าบาท”
    “ลุกขึ้น ราฟาเอล
    “ท่านเรียกข้า มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ กษัตริย์ข้า?”
    “เราจะบุกโจมตี The Lantern”แบล็คคิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย

    “กำลังพลของเรายังเสียเปรียบกองกำลังของพวกแลนเทิร์นเลยนะขอรับ เราไม่อาจจะเสี่ยงต่อความพ่ายแพ้นี่ได้…..”ราฟาเอลท้วงอย่างระมัดระวังแต่ก่อนที่ราฟาเอลจะพูดจบ ร่างกายของเขาขยับไม่ได้อย่างเฉียบพลัน ไม่ใช่เพราะเกราะที่หนักของเขา แบล็คคิงลุกขึ้นจากบัลลังค์และเดินลงมาจากบัลลังก์อย่างช้าๆแต่เสียงฝีเท้าที่แตะลงบนนั้นเสียงแน่นตรงมาทางราฟาเอล ราฟาเอลกระพริบตาถี่ๆ ขบฟันแน่น ขนลุกชัน และจับสั่นไปด้วยความกลัว แต่แบล็คคิงเดินผ่านราฟาเอลไป จากนั้นใช้เวทบังคับให้เขาเดินตามแบล็คคิงไป “ข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้ากำลังพูดนะ ราฟาเอล แต่….บางทีข้าก็หงุดหงิดที่ต้องฟังเสียงค้านบ่อยๆ ข้าจะแสดงบางอย่างให้เจ้าดูก็แล้วกัน สหายข้า…”แบล็คคิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เขาเดินออกมายังระเบียงปราสาทเผยให้เห็นทิวทัศน์ภายนอกที่อยู่ใกล้กับภูเขาไฟที่มีปากถ้ำและชี้ไปยังปากถ้ำ เพื่อให้ราฟาเอลดูบางอย่าง เขามองไปในทิศทางที่แบล็คคิงชี้ ราฟาเอลเห็นบางอย่างออกมาจากปากถ้ำมันตัวใหญ่กำยำ ผิวสีเทาเข้มนัยต์ดาสีเขียวที่เกรี้ยวกราด ในชุดเกราะสีดำทมิฬ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดุร้าย เขี้ยวของมันตรงช่วงฟันล่างยาวไปถึงจมูกของมัน ความเป็นมาของมันยังไม่แน่ชัด ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร พวกมนุษย์จำได้แค่เพียงว่า ปีศาจออร์คเป็นอสูรร้ายที่น่ากลัวและเข่นฆ่าล่าพวกเขาเป็นอาหาร พวกออร์คจำนวนมากเดินออกมาจากปากถ้ำออกมาเป็นแถว ราฟาเอลถึงกลับแปลกใจ พวกมันไม่เคยมีระเบียบและว่าง่ายเช่นนี้มาก่อน จากนั้นแบล็คคิงคลายเวทลง ทำให้ตัวของราฟาเอลถึงกับทรุดลงเพราะถูกบีบรัดด้วยเวทมนต์


    “แล้วเจ้าคิดว่าเราจะแพ้ไหมล่ะ ราฟาเอล?”เขาหันมาถามราฟาเอลอย่างเรียบๆ เขาค่อยๆลุกขึ้นทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร แต่ในใจนั้นแฝงความพยาบาท “ไม่มีทางขอรับ ฝ่าบาท แต่เราสามารถควบคุมพวกมันได้อยู่หรือขอรับ?”ราฟาเอลตอบและถามอย่างกังวลใจ
    “ข้าคือแบล็คคิง ราฟาเอล ข้าควบคุมได้ทุกอย่าง”เขาพูดพลางกลางแขนทั้งสองข้าง จากนั้นก็เดินเข้าไปในท้องพระโรง และหันมาพูดกับราฟาเอลอีกครั้ง “เมื่อเจ้าเข้าใจดังนี้แล้วท่านนายพล จงเกณฑ์ทหารที่รวดเร็วที่สุดของเราใน 2 วันและจงกรีฑาทัพแห่งดาร์คซีกเกอร์พร้อมกับเหล่าออร์คไปยังนครสีขาว นี่คือคำสั่ง”เขาลั่นคำสั่งออกมา ราฟาเอลคุกเข่าน้อมรับคำสั่ง

    “และพาลูกชายข้าไปด้วย”แบล็คคิงพูดทิ้งท้าย
    “แต่ฟรานยังเด็กเกินไปนะขอรับ ข้าว่า...”ราฟาเอลท้วงอีกครั้งแต่ก่อนจะพูดจบ เขาถูกเวทมนต์ของแบล็คคิงจับเหวี่ยงไปกระแทกกับผนังของปราสาท จนเกิดรอยร้าว และล้มนอนจนลุกไม่ขึ้น
    “ข้าไม่ต้องการฟัง ทำตามที่ข้าสั่ง ไม่งั้นข้าจะหาคนมาแทนเจ้า!”เขาเสียงแข็ง จากนั้นก็เดินออกไป ทิ้งให้ราฟาเอลจุกและนอนอยู่ตรงนั้นและเก็บความอัปยศไว้ในใจ


    บทที่ 1 : เชสเตอร์

    “แกจะไปไหน เชสเตอร์!”พ่อของเชสเตอร์ตะโกนเรียกเด็กชายวัยสิบแปดปี ตัวเล็กผอมบาง ผิวขาวอมแดง และผมสั้นสีน้ำตาลทองแดงที่เดินออกมาจากบ้านพร้อมกับเป้ในมืออย่างเร่งรีบ “ข้าจะไปสมัครทหารพ่อ ข้าไม่ยอมหยุดอยู่แค่การทำฟาร์มนี่หรอก!!”เขาพูดแสดงเจตนาที่เต็มไปด้วยการดูถูกอาชีพของผู้เป็นบิดาของเขา เมื่อพ่อของเชสเตอร์ได้ยินดังนั้น นัยต์ตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ “อย่างแกมันจะไปทำอะไรได้! กับอีแค่ทำฟาร์มยังไม่เอาอ่าว! ไปซิ! ไปตามฝันแกซะและอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าแกอีก! ฉันพูดคำไหนคำนั้น!!”เสียงของเขาดังก้องกังวาน ทำให้ละแวกบ้านข้างๆออกมาดูจากระเบียง เชสเตอร์ที่ได้ยินดังนั้นจึงวิ่งเต็มฝีเท้าและไม่คิดแม้แต่จะไปมอง พ่อของเขาหายใจแรงจากการกระโตนด่า เขาก้มหน้าและน้ำตาซึมเอ่อ เขาหันหลังเข้าบ้านอย่างเศร้าๆ

    เชสเตอร์วิ่งมาเรื่อยๆจนห่างจากฟาร์ม เขาหยุดวิ่งและหายใจอย่างเหนื่อยหอบ จากการวิ่งเต็มฝีเท้าเมื่อครู่ เขาเงยหน้ามองดวงตาเปิดกว้างอย่างตื่นเต้น เขามาถึงนครสีขาวที่มีกำแพงสูงสีขาวที่สูงราวๆสองร้อยเมตร มันสูงมากจนไม่เห็นยอดด้านบน เขายิ้มอย่างดีใจในมือที่กำใบสมัครทหารที่เต็มไปด้วยประวัติของเขาและสมรรถภาพทางร่างกายที่ผ่านเกณฑ์ เขาเดินเข้าประตูเมืองบานใหญ่ที่เปิดอ้าตลอด โดยมีทหารยาม 2 นายเกราะหนักสีเทาที่มีลวดลายที่สวยงามและแสงแดดยามเช้าที่ส่องลงมาบนเกราะทำให้มันเปร่งประกายอย่างสวยงาม ทำให้เชสเตอร์มิอาจละสายตาไปจากชุดเกราะพวกนั้นได้เลย ยิ่งทำให้เชสเตอร์มีท่าทีขึงขังยิ่งขึ้น

    “นี่ล่ะ ทางของข้าล่ะ”เขาพูดกับตัวเองอย่างมั่นอกมั่นใจ หลังจากเดินเข้าประตูเมือง เขากวาดสายตาไปโดยรอบ ที่มีคนพลุกพล่านในยามเช้า เชสเตอร์ไม่เคยเห็นผู้คนที่มีจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน เขาทำหน้าอย่างแปลกใจ เบื้องหน้าของเขาห่างไปประมาณห้าร้อยเมตร เผยให้เห็นระดับชั้นของพื้นที่สูงขึ้นโดยเนินที่สูงชันแต่ทางขึ้นกว้างประมาณสองเมตรและมีทางลำเลียงของหนักทางกราบขวาของตัวเมือง กำแพงชั้นที่สองที่มีระดับสูงน้อยกว่าชั้นนอก แต่ด้วยระดับพื้นที่สูงกว่า ทำให้มันมีขนาดสูงกว่าชั้นนอก บนยอดกำแพงยังมีพลธนูคอยเฝ้าระวังตลอดเวลา เขาเดินตรงไปตามทางหินอ่อนสีขาวตรงไปยังประตูชั้นที่สอง เขาเดินอย่างไม่เร่งรีบ ค่อยๆเดินขึ้นบันไดที่สูงชัน ทางเดินยาวสามสิบเมตร และทางเลื้อยเหมือนงู เขาเดินจนมาถึงด้านบนสุด เผยให้เห็นทหารยามที่สูงใหญ่กว่า ทหารยามด้านนอกที่เขาเดินผ่านเข้ามาสองนายร่างสูงใหญ่ชุดเกราะสีเลือดหมูสลักลายเป็นสัญญลักษณ์แห่งแลนเทิร์นในมือถือขวานศึกยักษ์ที่น่าเกรงขาม ที่มนุษย์ไม่สามารถแม้แต่จะยกมันได้อาวุธชิ้นนี้ออกแบบมาเพียงสำหรับเผ่าฟราโก้แห่งอัคคีที่ร่ายกายสูงใหญ่กำยำแห่งตะวันตก ทั้งสองสวมหมวกเกราะปิดบังใบหน้า ทำให้เชสเตอร์รู้สึกหนาวสันหลัง เขาเดินเข้าโดยไม่พยายามไม่ใส่ใจ แต่ก่อนที่เขาจะก้าวขาผ่านประตู ขวานของยามทั้งสองเข้ามาคล้องกันขวางทางเชสเตอร์ไว้ เชสเตอร์ตกใจจนขาอ่อนและล้มลงไป

    “อะไรเนี่ย…”เขาพึมพำพร้อมกับลุกขึ้นมา “ทำไม มาขวางข้าเอาไว้ล่ะ”เขาถามต่อ “คนที่สามารถผ่านไปยังชั้นกลาง มีเพียงชนชั้นสูง และทหารแลนเทิร์นระดับสองขึ้นไปเท่านั้น สามัญชนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังชั้นนี้ได้”ทหารยามไขข้อสงสัยด้วยน้ำเสียงที่ดูเคร่งครัด เชสเตอร์เกาหัว “แต่ข้าจะไปลงสมัครทหารแลนเทิร์น ข้าต้องผ่านทางนี้…ได้โปรดเถอะขอรับ ให้ข้าผ่านไปเถอะ”เชสเตอร์ร้องขออย่างสุภาพ ทหารยามทั้งสองหันมามองหน้ากันและหัวเราะเบาๆอย่างเย้ยหยันที่ดังอยู่ในหมวกเกราะของพวกเขา เชสเตอร์ที่รู้สึกถึงการดูถูกผ่านเสียงหัวเราะทำให้เขาโกรธและฉวยโอกาสไถลตัวลอดระหว่างตรงช่องว่องของขวานศึกที่คล้องกันไว้ เชสเตอร์วิ่งเต็มฝีเท้าที่เล็กของเขาจะทำได้ แต่เพียงไม่เท่าไหร่เขาก็ถูกคว้าโดยทหารยามชาวฟราโก้ จากนั้นเหวี่ยงเชสเตอร์ออกไปนอกประตู

    “ข้าบอกเจ้าแล้วไงไอ้หนู ว่าไม่มีสิทธิ์ผ่าน! เจ้าอยากโดนตัดขารึไง!” ทหารยามฟราโก้พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเปลวไฟปรากฏออกมาผ่านช่องตาของหมวกเกราะ เชสเตอร์เห็นดังนั้นจึงพยายามหนี เขาหันไปข้างหลังเตรียมจะออกตัวหนี แต่ขวานศึกยักษ์พุ่งปักลงที่พื้นตรงหน้าเข้า เชสเตอร์ตกใจจนเสียหลัก ตัวเขาสั่นละลิกด้วยความกลัว ทหารยามฟราโก้สองคนยื่นหน้าเข้ามาและพูดด้วยภาษาของชาวฟราโก้แต่น้ำเสียงที่ดูน่ากลัว และไฟที่ลุกโชดช่วงออกมาจากช่องตา เขาหลับตาไม่ยอมมองและขดตัวอยู่ตรงพื้น

    “พอได้แล้ว!”เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นจากด้านหลังของทหารฟราโก้ ทั้งสองหันขวับไปและรีบหยิบอาวุธและทำความเคารพอย่างรวดเร็ว “อรุณสวัสดิ์ยามเช้าขอรับ ท่านอัลเลน!”ทั้งสองพูดพร้อมกันอย่างเคร่งครัด ชายหนุ่มอายุสามสิบสอง ในผมสีเงินที่แสงแดดยามเช้าส่องทำให้มันเป็นประกายแวววับ ในชุดผ้าไหมสีดำและตัดขอบสีขาว ผู้มีดวงตาสีแดงผิวขาวและหูแหลมในใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาและนิ่งสงบอัลเลน ดาร์คครูเสดแห่งดาร์คซีกเกอร์ นักรบแห่งเฟิร์สคลาสที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดที่ของทหารแลนเทิร์น เอามือไขว้หลังด้วยท่าทีที่จริงจัง เผยให้เห็นดาบที่คาดไว้ข้างกายอัลเลนตลอดเวลา มันคือ ดาบแบล็คไฟร์ สมบัติตกทอดของตระกูลดาร์คครูเสด

    “พวกเจ้ากำลังทำร้ายเด็กไม่มีทางสู้งั้นหรือ พลทหารยาม”เขาถามอย่างเรียบๆ

    “เราแค่ต้องการสั่งสอนเด็กนี่เท่านั้นขอรับ ไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเลยขอรับท่านอัลเลน”ทหารนายหนึ่งตอบอย่างรวดเร็วและท่าทีลุกลี้ลุกลนเหมือนโดนยาสั่ง “คือเด็กคนนี้แอบฉวยโอกาสตอนเราเผลอ เพื่อจะเข้าไปยังวังด้านใน เราแค่ต้องการจะสั่งสอนก็เท่านั้นเองขอรับ..”ทหารยามที่พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแต่ตอนนี้จากยักษ์กลายเป็นเพียงลูกหมาลูกแมว เมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้

    “เป็นเช่นนั้นเองหรือ”เขาพูดด้วยท่าทางที่สงสัยพลางกอดอกเขามองมาที่เชสเตอร์ที่กำลังลุกขึ้น “เจ้าจะเข้าไปในส่วนนี้ทำไมหรือ หนุ่มน้อย”เขาถามอย่างเป็นมิตร เชสเตอร์ในทีแรกที่รู้สึกหวาดกลัวแต่พอได้พบกับอัลเลนและจับน้ำเสียงได้ถึงความเป็นมิตรในตัวของอัลเลน

    “ข้าจะไปสมัครเป็นทหารแลนเทิร์นขอรับ”เขาว่า อัลเลนมองเขาด้วยท่าทีที่สนใจเขาเอามือลูบคางของตนอยู่พักหนึ่งจากนั้น เดินลงบันไดไปยังด้านล่าง “ตามข้ามา” เขาพูดทิ้งท้าย เชสเตอร์เดินตามลงไป อัลเลนพาเชสเตอร์ไปยังฐานแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกนอกชานเมือง ที่มีสนามซ้อมรบ และที่เห็นได้ถนัดตา มักจะมีพลทหารฝึกหัดฝึกซ้อมการใช้ดาบและเวทมนต์กับหุ่นซ้อม ตรงขวาของฐานแห่งนี้ ที่นี่คือ ฐานของทหารแลนเทิร์นระดับเธิร์ดคลาสหรือระดับสาม ในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินตามทาง เชสเตอร์กวาดสายตาไปรอบๆ พบเห็น พลทหารฝึก ซ้อมวิ่งเป็นแถว และมีครูฝึกวิ่งนำหน้า เขาตัวสูงใหญ่ราวกับยักษ์มากกว่าทหารยามที่เขาพบไปเมื่อครู่ ผมสีแดงเข้มในตาที่ดำ ในชุดทหารแลนเทิร์นแถบแดง ไหล่ขวาประทับตราเลขหนึ่ง เขาคือไททานัส เมอเจส ทหารระดับหนึ่งรวมถึงทำหน้าทึฝึกเหล่าพลทหารฝึก และทั้งสองเดินมาถึงที่หมาย อัลเลนเดินผ่านทางเข้าไป ในห้องที่มีทหารถือเอกสารเดินผ่านเต็มไปหมด ผนังที่มีรูปของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งทั้งสี่ เอเรส ดอร์น แห่งฟราโก้ , โอรอส อควอเรียสแห่งไรเดน , เจย์น สเลเยอร์แห่งคาตัส และเภดานด้านบนเป็นภาพวาดของเผ่าพันธุ์เจ็ดแต่มันถูกลบออกไปสามเผ่าพันธุ์ ทันใดนั้นเองทหารอยู่ในบริเวณนั้นรีบทำความเคารพเขาในทันที อัลเลนยิ้มอย่างเป็นมิตรพร้อมพยักหน้าและโค้งตัวลงสั้นๆเล็กน้อยเพื่อให้พวกเขารับรู้ เมื่อการทำความเคารพจบลง อัลเลนตรงดิ่งไปยัง เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการ

    “สวัสดี คาเรน.”เขากล่าวคำทักทาย “มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ ท่านอัลเลน”เจ้าหน้าที่หญิงสาวในวัยยี่สิบปีร่างเล็กผิวขาวอมชมพู ดวงตาสีฟ้า ผมสีน้ำตาลอ่อน ในเครื่องแบบชุดเจ้าหน้าฝ่ายบริการเชสเตอร์สูงกว่าเธอเพียงเล็กน้อย ผู้หญิงในเมืองรวมถึงคาเรน มิสเวลมักจะรู้สึกเขินอายเมื่อพบอัลเลนเพราะความหล่อเหลาของเค้าหรือด้วยความอัธยาศัยดีแล้ว เชสเตอร์ที่เห็นอาการเขาคิดได้ทันทีคงจะเป็นซะทั้งสองอย่างนี่เอง ที่ทำให้ผู้หญิงในเมืองหรือทหารใต้บังคับบัญชาด้วยกันถึงดูเคารพและรักเขา “เด็กคนนี้มาสมัครเข้ากองทหารแลนเทิร์น เจ้าช่วยจัดการให้ข้าทีได้ไหม?”อัลเลนพูด“คนนี้ใช่ไหม…”เธอพูดพร้อมชี้ไปที่เชสเตอร์ที่ดูประหม่าเมื่อคาเรนสบตามาที่เขา หนุ่มเชสเตอร์ที่ตลอดมาใช้ชีวิตในฟาร์มนอกเมือง เขาเข้าเมืองบ่อยและไม่ค่อยได้เจอสาวรุ่นราวคราวเดียวกันเสียเท่าไหร่ มักจะเจอแต่พวกแม่ค้าที่อายุปาเข้าไปถึงสี่สิบ หญิงสาวช่วงวัยของเชสเตอร์มักถูกส่งเข้าไปเรียนเป็นพยาบาลหรือเข้าเรียนหนังสือพร้อมกับพวกผู้ชายที่มีฐานะ สำหรับเด็กชายที่ฐานะเป็นลูกพ่อค้าแม่ค้าในเมือง มักจะถูกเกณฑ์ไปทหารเมื่ออายุครบสิบห้า แน่นอน เชสเตอร์เสียเวลาไปถึงสี่ปีในการเป็นทหาร

    “ชื่อเจ้าคือ…”เธอถาม “เชสเตอร์ แองเจอรัส นั่นชื่อเค้า”อัลเลนตอบแทน เชสเตอร์ชงัก เขายังไม่ได้เอ่ยนามของเขา อัลเลนที่เห็นท่าทีของเชสเตอร์ จึงยิ้มให้ “ตระกูลของข้าสามารถอ่านใจคนได้ ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าแค่ต้องการรู้ชื่อกับความมุ่งมั่นของเจ้าเท่านั้น เชสเตอร์”เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรที่สุดที่เชสเตอร์เคยได้พบ “เอาเป็นว่า ข้าคงต้องขอตัวก่อน เจ้าช่วยจัดการแทนข้าด้วยแล้วกัน ขอบใจมาก”เขาพูดและปลีกตัวออกจากตรงนั้นและเดินออกไปอย่างเร่งรีบ เชสเตอร์มองอัลเลนที่เดินไปอย่างไม่ละสายตา จนอัลเลนเดินห่างไปไกลมากจนลับตา

    “เฮ้…เอ่อ เชสเตอร์?”คาเรนเรียกเชสเตอร์จากด้านหลัง เขาหันขวับอย่างฉับไว “หะ เอ่อใช่แล้ว”เขาพูดอย่างติดขัดด้วยความเขินอายเขาไม่แม้แต่จะสบตากับเธอเลย เธอยิ้มพลางส่ายหน้าเพราะรู้สึกได้ เธอยื่นกระดาษกับปากกาขนนก เพื่อกรอกประวัติเชสเตอร์รีบรับอย่างรวดเร็วที่เขาจะเร็วได้ และเขียนอย่างบรรจง เมื่อกรอกครบแล้ว เขายื่นคืนให้กับคาเรนเพื่อตรวจทานอีกครั้ง เธอมองหน้าเชสเตอร์และยิ้มให้ รอยยิ้มนั้นทำให้แก้มของเชสเตอร์นั่นร้อนผ่าว “เอ่อ เรียบร้อยดีไหม..”เขาว่า “อ่า…ใช่ เรียบร้อยแล้ว ข้าจะพาไปยังที่แล้วกัน”เธอตอบ จากนั้นทั้งสองเดินไปด้วยกัน และเชสเตอร์เองก็ไม่รู้เลยว่า เขาตกหลุมรักหญิงสาวคนนี้ไปเสียแล้ว..




    หลังจากหายไปเป็นเวลาอาทิตย์หนึ่ง ผมลองแก้ไขเนื้อเรื่องใหม่ ปรับให้ดูมีที่มาที่ไปมากขึ้น แต่บทนำ ผมไม่ได้แก้อะไรมากซึ่งผมคิดว่าตรงนี้ก็โอเคแล้ว สำหรับผมนะ :p แต่ท่านอื่นคิดยังไงก็ออกความเห็นด้วยละกันนะครับ

    ยังไงก็ขอความคิดเห็นของผู้อ่านด้วยนะขอรับ :giggle:
    Hodor is coming, Źéńőń, plakinmek และอีก 1 คน ถูกใจข้อความนี้
  6. Amarill

    Amarill ทหารม้า

    สำหรับริล Much more better !!! ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ!!!
    KnightWra1h ถูกใจข้อความนี้
  7. Rheagar Targaryen

    Rheagar Targaryen ราชองค์รักษ์

    ช่วงนี้ไม่มีไอแพดแล้วอ่านในโทรศัพท์ได้ทีละนิดนะตัว แต่ยังตามอ่านอยู่นะจ๊ะ
    KnightWra1h ถูกใจข้อความนี้
  8. plakinmek

    plakinmek ราชองค์รักษ์

    (y)(y)(y) เยี่ยมค่ะ! อ่านสนุกขึ้นเยอะเลย ภาษาเริ่มลื่นไหลดีแล้วค่ะ การบรรยายและเหตุผลที่ใส่เข้ามาช่วยเสริมน้ำหนักเรื่องได้ดี

    รออ่านตอนต่อไปนะคะ :sleep:
    KnightWra1h, Hodor is coming และ Amarill ถูกใจข้อความนี้
  9. KnightWra1h

    KnightWra1h ทหารม้า


    ขอบคุณคร้าบบบบบบ ก็ต้องให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้เพราะยังมีตันๆกับบางคำบ้างง่ะ

    อย่าลืมกันก็พอจ้าา



    ผมจะพยายามให้ดีที่สุดครับ!



    ปล. ขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็นฮะ :love::love:
  10. claymask

    claymask พลเดินเท้า

    มือใหม่หัดเขียนเช่นกัน

    เป็นกำลังใจให้ครับ สู้ๆๆๆๆ

    :knight::fighter::f2::f5::whip2:
    KnightWra1h ถูกใจข้อความนี้
  11. Rheagar Targaryen

    Rheagar Targaryen ราชองค์รักษ์

    แหมสงสัยในเกียรติของเรารึ

    อ้ะ!เอาเพลงมายืนยัน



    จงฟังแล้วไปแต่งต่อซะ
    Hodor is coming, Amarill และ KnightWra1h ถูกใจข้อความนี้
  12. KnightWra1h

    KnightWra1h ทหารม้า



    ข้าไม่เคยสงสัยในเกียรติของท่านเลยขอรับ ท่านเรกาห์ (y)
    จะรีบไปแต่งต่อทันทีทันใดเลยขอรับ
  13. Hodor is coming

    Hodor is coming ราชองค์รักษ์

    ยอดเยี่ยมขอรับ มันต้องอย่างนี้สิพ่อประคุณรุนช่องเอ๋ยยย:X3:...พัฒนาขึ้นเยอะขอรับ ใช้คำได้ดีขึ้นเยอะมาก แต่เหมือนสังเกตเห็นเล็กน้อยขอรับไม่แน่ใจว่าใช้คำผิดหรือเปล่า

    ราฟาเอลถึงกลับแปลกใจ - ราฟาเอลถึงกับแปลกใจ
    เขาสั่นละลิกด้วยความกลัว - เขาสั่นระริกด้วยความกลัว

    ยังไงลองเช็คในกูเกิลดูอีกทีนะขอรับ
    เอาใจช่วย รออ่านตอนต่อไปขอรับ สู้ๆ (y)
    สุนัขป่าโลกันตร์ และ KnightWra1h ถูกใจข้อความนี้
  14. KnightWra1h

    KnightWra1h ทหารม้า


    อาจจะมีหลุดบ้างครับ แแหะๆ ขอบคุณครับ ท่านโฮดอร์นี่จิตใจดีจุง
    Hodor is coming ถูกใจข้อความนี้
  15. Lord wizz

    Lord wizz อัศวินไร้นาย

    เป็นกำลังใจนักเขียนใหญ่ในอนาคตครับ จะได้มีหนังสืออ่านแบบไม่ต้องรอแปลไทยซักที
    KnightWra1h ถูกใจข้อความนี้
  16. KnightWra1h

    KnightWra1h ทหารม้า


    โอวว...คงยังเร็วไปขอรับ แหะๆ ผมก็พยายามทำให้ดีที่สุดแหละครับ :D
  17. Rheagar Targaryen

    Rheagar Targaryen ราชองค์รักษ์

    ดูเหมือนว่าเรื่องในหัวนี่น่าจะมีตอนจบแล้วรึป่าวคะแต่ระหว่างทางอาจจะเบลอๆ เพราะเหมือนว่ามันรีบเข้าประเด็นเรื่องเลย พอสเกลเรื่องมันกว้างบางทีก็แอบอยากได้ส่วนบรรยายที่มาเน้นว่าศึกนี้มันสำคัญหรือแค่เปิดฉากปัญหาใหญ่ปูเอาไว้อะค่ะ
    KnightWra1h ถูกใจข้อความนี้
  18. KnightWra1h

    KnightWra1h ทหารม้า


    ศึกแรกนี่คงเป็นแค่ตัวปูเนื้อเรื่องเท่านั้นเองครับ ส่วนตอนจบยังไม่มีแน่นอนครับ
  19. Rheagar Targaryen

    Rheagar Targaryen ราชองค์รักษ์

    งั้นถ้าได้บทสนทนาที่คมๆที่มาบอกว่าอีตัวร้ายนี่มันจะเป็นปัญหาต่างจากผู้ร้ายไก่กายังไงบ้างก็น่าจะดีค่ะ จะได้รอคอยว่าเรื่องจะคลายปมยังไง
    KnightWra1h ถูกใจข้อความนี้
  20. KnightWra1h

    KnightWra1h ทหารม้า

    บทที่ 2 : อาเธอร์


    “ท่านมีแผนจะจัดการยังไงขอรับ?”ทหารหน่วยลาดตระเวณเจนกิ้นพูดกระซิบในขณะที่เขานอนพิงอยู่บนต้นไม้พลางกระดกไวน์องุ่นที่อยู่ในกระติกกับพ้องเพื่อนอีกสี่คน พวกเขาออกตรวจทั่วบริเวณป่าแบล็คฟอเรสแห่งนี้ถึงสามวันแต่ตรวจได้แค่หนึ่งในสี่ของพื้นที่ทำให้พวกเขาเหนื่อยล้ากับการออกตรวจทั้งสี่นั่งมีเพียงตระเกียงไฟที่ให้แสงสว่างน้อยๆแก่พวกเขา หากแต่จะให้แสงมากพอก็คงต้องออกจากป่าแห่งนี้ที่มืดมิดดั่งชื่อของมัน แบล็คฟอเรส ต้นแบล็ควู๊ดที่สูงใหญ่จนมันปกคลุมบริเวณป่าจนแทบไม่มีแสงให้ส่องลงมาบนพื้นดิน มีเพียงแสงเล็กๆที่ส่องลงมาเพียงเล็กน้อย และมักจะมีเสียงกระซิบปริศนาที่หลอกล่อนักเดินทางหลงเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของป่าและจะไม่ได้กลับมา และนั่นทำให้ทหารหน่วยลาดตระเวณต้องหาอะไรเพื่อระงับความกลัวตลอดเพื่อไม่ให้เสียสติระหว่างปฏิบัติหน้าที่

    “เหลืออีกแค่หนึ่งวัน ข้าจะได้ไปหาลูกเมียข้าเสียที..”ทหารนายหนึ่งที่ดื่มไวน์องุ่นจนตาเริ่มเคลิ้ม เกือบจะหลับไป “อย่าได้หลับเชียว เอียน ข้าขี้เกียจที่จะต้องมาปลุกเจ้าหลายๆครา แต่…เจ้าจะหลับก็ได้นะ ข้าจะให้ท่านอาเธอร์มาปลุกเจ้าเอง หึหึ”เจนกิ้นขู่พลางหัวเราะอย่างน่ากลัว นายทหารเอียนที่ได้ยินดังนั้นจึงตาเบิกกว้างและลุกขึ้นมาทำตัวคึกคักเหมือนลิงเข้าสิง ทั้งสี่ที่เห็นปฏิกิริยาของเพื่อน เมื่อพูดถึงอาเธอร์ยืนกอดอกอยู่ตรงปลายกิ่งไม้ใหญ่ๆเพียงคนเดียว ถึงกับหัวเราะอย่างสนุกสนาน อาเธอร์ที่ได้ยินอยู่ห่างๆเพียงแค่ยิ้มและหัวเราะเบาๆ เจนกิ้นที่เห็นอาเธอร์ยืนอยู่ตรงนั้นมาเป็นเวลานาน

    “ท่านอาเธอร์ มาดื่มด้วยกันกับพวกเราเถอะขอรับ ท่านยังไม่ได้พักเลยนะ”เจนกิ้นแลดูเป็นห่วงเจ้านายจึงกล่าวชวน เขาไม่ได้หันตามคำเรียกของเจนกิ้นแค่พยักหน้าตอบ “ไม่เป็นไร ข้ายังไม่ต้องการมันในตอนนี้เจ้าพักพ่อนเถอะสหายข้า”อาเธอร์ตอบแบบขอไปทีแต่ก็ยังคงน้ำเสียงที่ไม่ทำให้ดูมีพิรุธว่าเขารำคาญ ชายผู้มีใบหน้าที่เคร่งขรึมตลอดเวลาผมสีน้ำเงินอ่อนที่ยาวถึงไหล่ที่ปลิวไปตามสายลมในยามที่ลมพัดผ่าน เขายืนกอดอกในชุดเกราะอ่อนและตรีศูลสีทองเป็นประกายที่ติดอยู่ที่ด้านหลังเขา อาเธอร์ ควอเลียสแห่งไรเดน ผู้บังคับบัญชาหน่วยลาดตระเวณ แห่งแบล็คฟอเรสทันใดนั้นเองเขาได้ยินเสียงร้องบางอย่างคล้ายสัตว์ ทหารติดตามสี่นายไม่ทันสังเกต มีเพียงอาเธอร์และเจนกิ้นที่แม้จะดื่มไปเยอะแต่ยังมีสติครบถ้วน

    “เจ้าได้ยินใช่ไหม เจนกิ้น”อาเธอร์หันมาถาม เขาพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าที่จริงจัง ดังนั้นอาเธอร์เดินไปตรงหน้าทหารสี่นายที่ยังนั่งคุยกันโดยไม่รู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังคลืบคลานเข้ามา “พวกเจ้าสี่คนกระจายกันไป และดับตะเกียงซะ”อาเธอร์ออกคำสั่ง ทหารทั้งสี่ที่เมาอยู่เมื่อกี้เมื่อได้ยินเสียงออกคำสั่งที่เคร่งครัดของอาเธอร์ ก็รีบคืนสติและกลับมาทำงานของตนต่ออย่างฉับไว “เจนกิ้นมากับข้า”เขาพูดพร้อมกับเดินไปยังทางเชื่อมของต้นไปอีกต้นหนึ่ง เนื่องจากหน่วยลาดตระเวณที่ต้องใช้ถึงสามกลุ่มในการสำรวจป่าแบล็คฟอเรส พวกเขาจึงสร้างทางเชื่อมระหว่างต้นไม้เพื่อง่ายต่อการเคลื่อนที่และสามารถไปยังจุดที่ไม่สามารถเดินพื้นได้

    ทั้งสองเดินไปยังต้นตอของเสียงจนมันดังใกล้เข้ามา พวกเขาเดินมายังจุดที่เป็นถนนคนเดิน และเสียงก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ และเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่ถึงขนาดทำให้ทางเชื่อมที่แผ่นไม้หนาๆถึงกับสั่นสะเทือนเบาๆ

    “มีบางอย่างกำลังมุ่งหน้ามทางนี้..”เจนกิ้นอุทานขึ้นเบาๆ และตัวของเจนกิ้นสั่นเทา แต่อาเธอร์จับไหล่ของเจนกิ้นเพื่อให้ได้สติ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจนกิ้น เจ้าต้องมีสติเข้าไว้ อย่าให้ความกลัวมาบดบังความกล้าในตัวเจ้า..”อาเธอร์พูดเตือนสติเบาๆ และทั้งสองหันกลับมาดูอีกครั้ง พวกมันไม่ส่งเสียงร้อง แถวตอนห้าแถวที่ทำให้ถนนทางเดินไม่มีช่องว่างเหลืออยู่ ในชุดเกราะสีดำสนิทที่ตีแบบหยาบๆ หมวกเกราะที่บิดบังใบหน้าแต่ยังเห็นเขี้ยวของมันที่ยื่นออกมาตรงฟันช่วงล่าง ผิวของมันแทบจะกลืนไปกับชุดเกราะและเข้ากกับความมืดในป่าแห่งนี้ได้อย่างดีเลยทีเดียว แม้พวกมันจะวิ่งผ่าน สองทหารหน่วยลาดตระเวณไป แต่พวกเขาก็ยังไม่เห็นท้ายขบวนเลย อาเธอร์มองไปยังเจนกิ้นที่ยังไม่ละสายตาจากพวกออร์ค ปีศาจที่เมื่อหลายร้อยปีมันเคยถูจองจำในนรก พวกมันมักจะคำรามและไม่มีระเบียบ และนั่นทำให้เจนกิ้นแปลกใจ พวกมันไม่เคยมีระเบียบและดูสงบถึงเพียงนี้ พวกมันเอาแน่เอานอนไม่ได้ อาเธอร์เองก็รู้สึกเช่นเดียวกันและครุ่นคิด

    “ใครเป็นคนปลดปล่อยพวกมันออกมากัน?”เจนกิ้นเอ่ยปาก อาเธอร์มองไปยังพวกมันอีกครั้งแต่เพ่งสายตาไปที่เกราะเขาเห็นสัญลักษณ์อยู่ตรงหมวกของพวกมัน เขารู้สึกคุ้นตา แต่เขายังนึกมันไม่ออก สัญลักษณ์มังกรสีแดง “ข้านับได้สามพันแล้ว..”เจนกิ้นว่า อาเธอร์ได้ยินจึงเริ่มตรึงเครียดและเริ่มคิดถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ทันทีว่าพวกมันกำลังมุ่งยังที่แห่งใด เส้นถนนแห่งนี้มีมันคือทางลัดที่จะตรงไปยังนครกลาดิอุสเมืองสุดท้ายของเหล่ามนุษย์ภายใต้การคุ้มครองของเหล่าทหารกล้าแลนเทิร์น อาเธอร์รู้ดีว่าต้องรีบมุ่งกลับไปให้เร็วที่สุด ด้วยความเร็วของมันที่เขายังไม่เห็นมันช้าลงเลยแม้แต่น้อย พวกมันคงจะถึงภายในไม่ถึงอาทิตย์

    “เราต้องไปแล้ว”อาเธอร์พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง อาเธอร์วิ่งไปยังจุดที่ทหารผู้ติดตามที่เหลืออีกสี่คน แต่ทันใดนั้นเขาฉุดคิดขึ้นถึงบางอย่างพร้อมกับหยุดวิ่งโดยพลัน “เกิดอะไรขึ้นขอรับ”เจนกิ้นถาม ทุกครั้งที่อาเธอร์จะคิดออกถึงบางอย่างและอันตรายเขาจะหยุดกระทำในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่

    "ตอนที่เราแอบสอดแนมกองทัพพวกมัน ข้าไม่เห็นผู้นำทัพและผู้ชูงธง และสัญลักษณ์นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พวกมันจะทำกันขึ้นมา”อาเธอร์สรุปถึงสิ่งที่เขาเห็นพลางเอามือลูบขมับเบาๆ

    “นัยต์ตาของพวกมันไร้ความรู้สึก เหมือนกับถูกควบคุม”

    “ไม่มีผู้ใดจะแกร่งกล้าที่จะสามารถควบคุมปีศาจจำนวนมากขนาดนี้นะขอรับ”

    “เจ้าแน่ใจได้รึ?”

    “ข้าไม่…” เจนกิ้นพูดอย่างไม่แน่ใจ “หากว่ามันถูกควบคุม มีเพียงเผ่าเดียวที่สามารถทำได้ถึงเพียงนี้…”อาเธอร์พูดแต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยถึงนามของเผ่านี้ เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างอีกครั้ง ในห้วงความคิดปกคลุมไปด้วยความมืดมิด รังศีความกลัวที่ตีแผ่มาทั่วบริเวณโดยรอบ แม้แบล็คฟอเรสจะมืดถึงเพียงใด ไม่มีครั้งใดที่จะมืดมิดได้ถึงครานี้มาก่อน เจนกิ้นเริ่มตัวสั่นเทา ในมือที่กุมดาบแน่นจนเนื้อตรงมือเขาเป่งเป็นสีแดงเข้ม เสียงบางอย่างกระซิบเข้ามาในหูของทั้งสอง มันชวนโหยหวน แต่กกับอาเธอร์ทำให้ปวดหัว และเจนกิ้นที่ทนเสียงไม่ไหวจนเอามือปิดหูและตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า

    “ออกไปจากหัวข้า…”เจนกิ้นอุทานพร้อมกับลงไปนั่งคุกเข่า อาเธอร์ที่ยังมีสติอยู่มองไปยังเจนกิ้นที่มีทีท่าว่าจะตะโกน “เจนกิ้น ตั้งสติไว้ อย่าตะ..”แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ “ออกไปจากหัวข้าซะ!!”เขาตะโกนออกมาดังลั่นในทั่วบริเวณ “พวกมันรู้ตำแหน่งเราแล้ว”อาเธอร์พูดขึ้นพร้อมกับคว้าตรีศูลสีทองจากด้านหลังในทันที และเสียงกระซิบโหยหวนก็หายไปในทันที เจนกิ้นลืมตาและลุกขึ้น เขานึกว่าเป็นเพราะเสียงตะโกนเขาทำให้พวกมันหายไป แต่มันไม่ใช่ อาเธอร์ส่ายหน้าและสีหน้าของเขาไม่สู้ดีเลยในตอนนี้ “เจ้าแค่บอกตำแหน่งให้พวกมันรู้ก็เท่านั้นแหละเจนกิ้น”เขาพูดเรียบๆ “ตำแหน่งให้ใครกัน…”เจนกิ้นพูดและรู้สึกถึงความผิดของตนที่ได้ก่อ “เผ่าแห่งความมืด ‘ดาร์คซีกเกอร์’”ในที่สุดเขาก็เอ่ยนามของมัน ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังเข้ามา “เจนกิ้น! หมอบ!!”เขาตะโกนบอก เจนกิ้นได้ยินดังนั้นจึงหันไป ลูกธนูสามดอกพุ่งเข้ามาปักเข้าที่อกของเจนกิ้น แรงกระแทกของมันหนักมากจนเจนกิ้นหงายท้องลงไป และอีกสองพุ่งตามมาอีก อาเธอร์ใช้ตรีศูลปัดป้องลูกธนูออกไปในคราเดียวอย่างง่ายดาย เขามองไปยังเจนกิ้นและลูกธนูที่ปักอก เจนกิ้นเริ่มชักและดิ้นไปมา และผิวของเจนกิ้นค่อยๆกลายเป็นสีดำไปทีล่ะส่วน เสียงกระซิบโหยหวนดังขึ้นมาอีกครั้ง อาเธอร์มองไปรอบๆมันมืดขึ้นเรื่อยๆ ทัศวิสัยของเขาเริ่มแย่ลง ทำให้เขาเห็นเพียงแค่เงาลางๆ

    “เจ้าไม่มีทางหนีไปไหนหรอก อาเธอร์…”

    “เจ้าจะต้องตายในความมืด”

    “กลิ่นความกลัวของเจ้ามันช่างหอมหวานเสียเหลือเกิน….”

    “ข้าล่ะอยากได้วิญญาณเจ้าเหลือเกิน..”

    เสียงของบุคคลปริศนาดังขึ้นมาในหัวของอาเธอร์ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาอยากจะยอมแพ้

    “ข้าไม่เกรงกลัวพวกเจ้าหรอกนะ เผ่าชั้นต่ำ”เขาพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวพลางดูถูก“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงความกล้าให้ข้าดูสิ อาเธอร์…”เสียงกระซิบดังมาจากข้างหลังอาเธอร์ เขาจึงตวัดตรีศูลไปยังด้านหลังเต็มแรง แต่กลับไม่มีอะไรอยู่ข้างหลังเขา มันกำลังปั่นประสาทของอาเธอร์ เขาจำเสียงของชายผู้นี้ได้ หากแต่มันเนิ่นนานมาแล้วที่เขาไม่ได้พบชายผู้นี้ครั้นตั้งแต่สมัยสงครามแห่งเผ่าพันธุ์หลายสิบปีก่อน

    “เจ้าจำเสียงข้าไม่ได้หรือ สหายเก่าข้า…”เสียงของชายผู้นี้ยังวนเวียนอยู่ทั่วบริเวณ อาเธอร์จะก้าวขาไปข้างหน้า แต่มันกลับไม่ทำตามที่เขาสั่ง เขามองยังพื้นที่เหยียบ เงาที่เป็นรูปมือกำลังจับรั้งเขาไว้ และทั่วบริเวณพื้นของอาเธอร์เริ่มเป็นวงกลมสีดำและเขาก็ร่วงหล่นลงไป และหลุดออกมาโผล่ยังพื้นด้านหลังในบริเวณที่มืดที่สุดของแบล็คฟอเรส เขารีบลุกขึ้นมาเตรียมป้องกัน ทันใดนั้นลูกธนูพุ่งมาจากด้านหลังอาเธอร์โดยไม่ทันระวัง มันปักเข้าที่ขาซ้ายของเขาร้องและทรุดลง และอีกดอกหนึ่งพุ่งเข้าที่ขาอีกข้าง ทั้งสองดอกนี้ติดโซ่มันถูกยิงมาจากต้นไม้คนล่ะต้นเผยให้เห็นชายในชุดสีดำปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุม ในชุดเกราะแบบบุผ้าสีดำสนิท พวกมันถือโซ่ที่คล้องกับธนูที่ปักอยู่ตรงขาของอาเธอร์ ทันใดนั้นลูกธนูอีกดอกพุ่งเข้ามาตรงแขนซ้ายของอาเธอร์ อาเธอร์ไม่พลาดอีกเป็นครั้งที่สามใช้ตรีศูลปัดป้องมันจนกระเด็นไป จากนั้นเขาใช้ตรีศูลชี้ไปยังจุดที่ถูกยิงมา ตรีศูลของเขาเกิดเป็นประสายสวยงามแต่ไอน้ำที่ปรากฏมันเป็นสีฟ้าอ่อนๆ และบางอย่างพุ่งออกมาจากตรีศูลมันเป็นลำแสงสีฟ้าพุ่งตรงเข้าที่ผู้หมายจะสังหารเขา เมื่อลำแสงนั้นถูกตัวเขา ร่างกายของชายผู้นั้นเริ่มขยับไม่ได้และน้ำแข็งค่อยๆก่อตัวไปทั่วบริเวณทุกส่วนของร่างกาย มันคือลำแสงแช่แข็ง

    อาเธอร์ใช้ตรีศูลอีกครั้งฟาดไปยังโซ่ที่คล้องกับลูกธนูจนมันแข็งเป็นน้ำแข็ง และฟาดซ้ำอีกครั้งจนมันแตกกระจาย เขารีบลุกขึ้นมาและปล่อยซ้ำไปที่ทหารอีกสองคนบนต้นไม้ แต่พวกมันหายไปในเงา และโผล่มาอีกทีด้านหลังเขาพร้อมกับโจมตีด้วยมีดสั้น อาเธอร์หลบการโจมตีได้ แต่กระบวนถ้าของทหารสองนายนี้รวดเร็วมาก และด้วยลูกธนูที่ปักที่ขาทั้งสองข้างทำให้เขาเคลื่อนลำบาก เขาถูกฟันด้วยมีดไปหลายแผล อาเธอร์เห็นท่าไม่ดีจึงใช้เวทมนต์จากมือซ้ายของเขาปล่อยเป็นคลื่นน้ำทำให้ทั้งสองกระเด็นกระดอนไป อาเธอร์ได้โอกาสหมายจะหนี แต่เมื่อเขาหันไปข้างหลังค้อนศึกเข้ามากระแทกตรงอกเขาเต็มๆจนล้มลง เขาจุกและอาเจียรออกมาเป็นเลือด เขาพยายามเอื้อมหยิบตรีศูล แต่มันถูกคว้าโดยชายผู้ฟาดเขาจนล้มไปกอง เขาลุกไม่ขึ้น หากเป็นมนุษย์ธรรมที่ถูกฟาดด้วยค้อนศึกและแรงขนาดนั้น เขาคงไม่ได้มานอนดิ้นอย่างเจ็บปวดเช่นนี้ เขาหายใจเริ่มลำบากกระดูกสี่โคร่งของเขาคงจะร้าว เขารู้สึกได้และไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้น สายตาของเขาเริ่มพร่ามัว แขนของเขาทั้งสองข้างถูกรวบและถูกติดกุญแจมือที่เป็นทำจากเหล็กกล้า เขามองไปยังชายที่ฟาดใส่เขา พยายามจะสังเกตุมันให้มากที่สุด ในชุดเกราะโกธิคสีดำสนิท หมวกเกราะของเขามีลักษณะเป็นวัวกระทิง ในมือขวาถือค้อนศึกสีดำที่น่าเกรงขามและอีกข้างถือตรีศูลของอาเธอร์ ชายในชุดเกราะถอดหมวกของเขาออก และชำเลืองมองตรีศูลของอาเธอร์

    “ตรีศูลแห่งราชันต์ สมัยข้ายังเยาว์ข้ามักชอบอ่านประวัติของศาตราวุธในตำนาน ตรีศูลแห่งราชันต์ สมบัติของกษัตริย์แห่งท้องทะเล ที่ไม่มีวันถูกทำลาย”เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหน่าย พลางกวัดแกว่งตรีศูลของอาเธอร์เหมือนของเด็กเล่น “สามารถบันดาลให้เกิดพายุคลั่งและแผ่นดินไหว คนอย่างเจ้ามันไม่เหมาะจะใช้มันหรอก อาเธอร์..”เขาพูดและเดินไปอยู่เหนือตัวอาเธอร์ อาเธอร์เห็นชัดขึ้น ชายผู้มีใบหน้าหล่อเหลาดั่งเทพนิยายในของสตรีแต่กับดูเย็นผิวสีขาวซีดแม้แต่ริมฝีปาก ดวงตาสีแดง ผมสีเงินที่ปลิวไปตามสายลม “เอลวิน…”อาเธอร์จำเสียงและใบหน้านี้ได้ในที่สุด “จำข้าได้แล้วสินะ อาเธอร์ รัชทายาทแห่งไรเดน…”เอลวินพูดพร้อมกับใช้ตรีศูลแทงเข้าไปยังต้นขาของอาเธอร์ เขาร้องอย่างเจ็บปวด “ถ้าจะสังหารข้า…มัวรออะไรกัน…”อาเธอร์พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและเริ่มหายใจลำบาก เอลวินยิ้มด้วยมุมปากเล็กๆและหายไป “ข้ายังไม่ฆ่าเจ้าตอนนี้หรอก อาเธอร์ ยังเร็วไป…”เขาพูดจากนั้น เงาจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นรอบๆบริเวณนั้น เผยให้เห็นทหารดาร์คซีคเกอร์จำนวนมาก และทหารสองนายคว้าตัวอาเธอร์ขึ้น “จนกว่าเราจะถึงวันนั้น ข้าจะทำให้นครสีขาวและทุกๆอย่างที่เจ้ารักให้เหลือแต่ความมืดมิดซะ…”เขาพูดและยิ้มอย่างน่ากลัว อาเธอร์ไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ เอลวินครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายร่วมรบในศึกแห่งเผ่าพันธุ์ บัดนี้เขากลายเป็นอะไรไปเสียแล้ว “ทำไม…เจ้าทำแบบนี้ทำไม?”เขาถามอีกครั้งก่อนที่จะถูกพาตัวไป เอลวินไม่ได้หันตาม“ข้าแค่ทำตามคำสั่งพระบัญชาของแบล็คคิง และเจ้าจะเป็นเชลยชั้นดีของพระองค์เลยทีเดียวล่ะ”เขาพูดจากนั้นก็เดินออกจากตรงนั้น พร้อมกระโดดขึ้นอาชาสีดำสวมชุดเกราะแบบแผ่นสีดำ จากนั้นควบม้าออกไปและทหารบนหลังมาอีกนับสิบนาย และก่อนที่อาเธอร์จะหมดสติไป เสียงร้องของสัตว์ร้ายบางอย่างดังขึ้น และเสียงกระพือปีกที่ดังเป็นจังหวะ และนัยต์ตาของเขาก็ค่อยๆเลือนไปมีแต่ความมืดมิด..




    บทที่สองครับ ช่วงนี้คงออกบทอาทิตย์ละตอนเพราะเริ่มไม่ค่อยว่างและแหะๆ เรื่องศัพท์และประโยคผมยังไม่แม่นมากนะครับ แต่จะปรับปรุง ยังไงก็ลองอ่านดูละกันครับ

    ออกความเห็นได้เต็มที่เลยฮะ รอให้ชำแหละ ละ:X3:

    ส่วนหน้าหลักผมใส่สารบัญไว้นะครับ
    Hodor is coming, Amarill และ Źéńőń ถูกใจข้อความนี้

Share This Page